9/22/2559

เจดีย์แดง...ศรัทธาที่พิสูจน์ไดื ...และครูอาจารย์ หลวงพ่อ จำลอง..

ตะกรุดที่ขึ้นชื่อ มากด้วยประสบการณ์ แคล้วคลาด คงกระพัน ตะกรุดดำหลวงพ่อจำลอง

ตะกรุด ดำเป็นหนึ่งในสี่ตะกรุดที่เลื่องลือของหลวงพ่อฯ พุทธคุณด้าน ป้องกันภัย แคล้วคลาด คงกระพัน สภาพบุรุษ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้าหรือผู้ที่ต้องเดินทางไกลมักจะบูชาคล้องคอเพื่อเป็นสิริมงคลและคุ้ม ครอง ขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติงานหรือหน้าที่ ขอบอกว่ามากมายด้วยประสบการณ์การที่จะให้สิ่งศักดิ์แผ่บารมีเกื้อหนุนคุ้ม ครองนั้น จิตใจของผู้ครอบครองนั้นก็เป็นสิ่งประกอบสำคัญที่ต้องยึดมั่นในความดี เมตตา ดังนั้นกุศลของผู้ที่ครอบครองประกอบกับพุทธคุณของหลวงพ่อในตัวตะกรุดก็จะส่ง ผลให้ความสำเร็จความเจริญเข้ามาสู่ชีวิต

แบ่งวัตถุมงคลของ หลวงพ่อฯกันไปบูชาครับ ราคาแบบเป็นจริงที่สุด ค่าบูชาตะกรุด+ค่ากรอบ+ค่าจัดส่ง +(ค่าน้ำมัน) ก็เหลือน้อยครับ รับจากมือหลวงพ่อบนกุฏิ ไม่ได้ไปเอาจากร้านที่ไหน อยากให้ได้ของดีแก่เพื่อนๆสมาชิกและครอบครัวทุกท่านไปบูชากัน

ขนาดของตะกรุดยาว 7.8 ซ.ม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซ.ม.จัดส่งพร้อมรูปหลวงพ่อ+คาถาบูชา

หลวง พ่อจำลอง วัดเจดีย์แดง เป็นพระเกจิที่มีชื่อเสียง ลูกศิษย์ ลูกหามากมายทั้งนอกและในตัวจังหวัดอยุธยาเอง สังเกตจากกิจนิมนต์ของท่านในงานพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลที่มีเกจิอาจารย์ชื่อ ดังมาร่วม ท่านจะเป็นหนึ่งในนั้นเสมอ ตอนที่กระแสจตุคามกำลังมาแรงหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัดเพราะติดกิจนิมนต์แทบ ทุกวันวัตถุมงคลของท่านที่รู้จักกันดีและขึ้น ก็คือ ตะกรุดซึ่งตะกรุดของหลวงพ่อทำตามตำรับโบราณซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยกรุง ศรีอยุธยา ทำจากตะกั่วรีดเป็นแผ่น ลงยันต์เฉลียวเพชร ม้วนกลมแล้วถักด้วยด้ายสายสิญจน์ นำมาลงรักปิดทอง

ตะกรุดของ ท่านมี 4 อย่าง คือ ตะกรุดดำ แดง สาริกา และตะกรุดไตรมาส ซึ่งพุทธคุณในแต่ละดอกหรือวาระการทำก็จะมีความคล้ายหรือแตกต่างกันออกไปบ้าง

ตะกรุด แดงให้พุทธคุณด้านเมตตามหานิยม เจรจา ค้าขายตะกรุดดำมีพุทธคุณด้านมหาอำนาจ แคล้วคลาด คงกระพันตะกรุด(คู่)สาริกามีพุทธคุณด้านเมตตา มหาเสน่ห์ เจรจา ค้าขายตะกรุดไตรมาส ปลุกเสกตลอดเข้าพรรษา รวมสุดยอดพุทธคุณ

ตะกรุด ของหลวงพ่อนั้นมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม ด้วยสีของแผ่นทองที่พันรอบตัวกับสีของตัวตะกรุด (ดำ,แดง) เมื่อนำมาใส่กรอบก็จะดูคล้ายเครื่องประดับที่พร้อมไปด้วยพุทธคุณที่หลวงพ่อ ได้บริกรรมคาถาใส่ในตัวตะกรุด

ตะกรุดดอกดำ รวมสุดยอดประสบการณ์เมื่อก่อนใครจะรับดอกดำต้องรับพาน (รับพานครู) ความหมายก็คือรับแล้วต้องลองเลย ซึ่งในปัจจุบันไม่ต้องแล้ว ท่านคงอยากให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ของดีไว้ใช้เลยไม่ต้องรับพาน แต่ก็มีบางคนที่แน่วแน่ที่ขอรับพานครูในทันที เสียงหลวงพ่อบริกรรมคาถาพร้อมใช้มือลูบน้ำมนต์ลงไปที่หลัง หลวงพ่อในท่ากึ่งยืนกึ่งนั่งกดมีดแหลมคมลากเป็นแนวยาวทั่วหลังเป็นสิบครั้ง บนหลังมีแต่รอยลากนูนปนเลือดไหลซึมเป็นยางบอน แต่แผลไม่ฉีก พิจารณามีดที่หลวงพ่อส่งให้ดู สายตาทุกคู่และเสียงที่พึมพรำบนกุฏิอย่างอัศจรรย์ เหตุการณ์บนกุฏิยังติดตาผมและใครอีกหลายคนอยู่ เสียดายไม่ได้ติดกล้องไปด้วย

ตระ กรุดดำส่วนมากจะพบเห็นในเหล่าผู้ชาย วัยรุ่น โดยเฉพาะตำรวจ ทหาร ที่ต้องเดินทางไปปฏิบัติงานที่ภาคใต้ก็มาบูชาจากท่านไปก็พอสมควร ถ้าท่านทราบก็จะนำเหล็กมาจานที่ตัวตะกรุดให้ด้วย มีโอกาสพูดคุยกับพี่ๆทหาร บอกว่าจะนำไปติดตัวและให้เพื่อนเพราะมีประสบการณ์ตรงในพื้นที่ มีพี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างขับมาคนเดียวจากคลองสี่ ปทุมฯ แกไม่เคยมา ขับไปถามทางเข้าวัดไป เสื้อวินก็ยังไม่ถอด มาเข้าแถวรอรับตะกรุดดำ เล่าว่าตอนเช้าเพื่อนที่วิน คุยท้าถึงความขลังของตะกรุดบนคอตัวเอง เลยท้านัดเอาปืนมายิงเพื่อพิสูจน์ ผลออกมาว่าดอกดำของหลวงพ่อ ยิงไม่ออก 4 ลูก ดูเสร็จขับรถมาเลย ดอกนี้แน่นอน พี่ถึงต้องมารับเอง ใจร้อนเรื่องลองยิงอย่างนี้ผมก็เคยเจอตำรวจลองของในสนามยิงปืน ติดตะกรุดของสำนักต่างๆ บนเป้า ที่ระยะ 2 เมตร สิ่งที่เกิดคือของหลวงพ่อ ยิงไม่ออก ก็ถึงกับประหลาดใจ อีกคนที่มาด้วยหยิบปืนขึ้นมาเล็ง ครู่นึงต้องวางปืนบอกใจมันไม่นิ่ง ก็อดประหลาดใจว่าใช่พุทธคุณในตัวตะกรุดหรือไม่ ส่วนสำนักอื่นที่ลอง เดาเอาเองครับ ถ้าประสบการณ์ตรงผมก็เรื่องขับรถแล้วเผลอหลับใน อยู่ดีๆสะดุ้งตื่นมาเหยียบเบรกทันเลยผ่อนหนักเป็นเบา (วันนั้นขึ้นคอทั้ง 3 ดอกเลย) เคล็ดนิดหน่อย ซ่อมรถไปหลักหมื่นตะกรุดแดงและสาริกาขนาดจะเล็กลงมาตามลำดับ สาวๆที่ทำงานผมก็ใส่ขึ้นคอกันครับ เพราะผมเล่าให้ฟัง ก็เลยฝากผมบูชามาให้ใส่กรอบสวยๆ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเป็นลำดับครับ ทำงานไม่ติดขัดอะไร การเงินก็เริ่มดีขึ้น ถ้าใจเราศรัทธาพุทธคุณก็นำพาและเสริมส่ง นี่เห็นผมเหน็บตะกรุดคู่สาริกาที่กระเป๋าเสื้อแล้วดูสวย ก็จะฝากบูชากันอีก เพราะรู้สึกว่าทำงานเข้าตาเจ้านาย พ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายก็คล้องคอกันอยู่ครับคล้องคู่เลย แดง + สาลิกา ยกตัวอย่างร้านขายก๋วยเตี๋ยวแถวงามวงศ์วาน คนแน่นทุกวัน ใบ้ให้ว่าเป็นร้านเย็นตาโฟตะกรุดไตรมาส ซึ่งเป็นตะกรุดที่หลวงพ่อท่านได้อธิฐานจิตปลุกเสกตลอดเข้าพรรษา 3 เดือน ในโบสถมหาอุตและให้บูชาในวันออกพรรษาเพียงวันเดียว ที่บอกว่าเพียงวันเดียวนั้นหมายความว่าเพียงวันเดียวก็บูชาจนหมด ซึ่งในวันออกพรรษานั้นจะมีศิษยานุศิษย์มาร่วมทำบุญและรอบูชาตะกรุดกันอย่าง เนื่องแน่น ตะกรุดไตรมาสจะมีสองขนาดจะมีขนาดใหญ่และเล็ก ขนาดใหญ่นั้นจะหายากเพราะท่านสร้างน้อยกว่าและราคาขอแบ่งบูชาจากคนที่มีก็ไป หลักเกือบครึ่งหมื่น ส่วนใหญ่ตะกรุดไตรมาสจะหาบูชายากกว่าตะกรุดแบบอื่นเพราะคนที่มีจะเก็บไว้ใช้ เองเพราะหายาก 1 ปี 1 ดอก ราคาถ้าถามหาจากคนในพื้นที่เกินหลักพันแน่นอน

จริงๆ แล้วตะกรุดของหลวงพ่อทุกชนิดทุกดอก น่าจะมีพุทธคุณที่คล้ายกัน เพราะก่อนจะรับหลวงพ่อก็จะพรมน้ำมนต์และบริกรรมคาถากำกับด้วยเสียงที่เข้ม ขลัง ก่อนส่งให้กับมือ

ยุคนี้คล้องวัตถุมงคลของหลวงพ่อติด ตัวไปไหนดีกว่าใส่ทองครับ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจ ให้ระแวดระวัง มีสติ ให้ทำสิ่งดี ไม่อันตราย พุทธคุณหลวงพ่ออยู่ข้างกาย คิดแค่นี้ก็อุ่นใจแล้วครับ






วัดเจดีย์แดง* 

                วัดเจดีย์แดง  หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า  “วัดแดง”  ตั้งอยู่ที่บ้านแดง  หมู่ที่ ๔ ตำบลหัวรอ  อำเภอพระนครศรีอยุธยา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ปัจจุบันเป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย  มีเนื้อที่ ๑๙ ไร่  ๓ ตารางวา พื้นที่เป็นที่ราบลุ่มประกอบด้วยสิ่งก่อสร้าง  หรืออาคารเสนาสนะสำคัญๆ  คือ  อุโบสถก่ออิฐถือปูน  ขนาดกว้าง ๑๒ เมตร  ยาว ๒๔ เมตร  ศาลาการเปรียญสร้างด้วยไม้  ขนาดกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร  กุฏิ  ๗ หลัง  เป็นอาคารไม้ ๔ หลัง  ครึ่งตึกครึ่งไม้ ๓ หลัง  และหอระฆังก่ออิฐถือปูน๑
                เมื่อพิจารณาแผนผังของวัดพบว่า  ด้านหน้าของวัดหันไปทางทิศตะวันออก  ด้านหลังอยู่ใกล้กับแม่น้ำลพบุรีซึ่งเป็นเส้นทางไปออกโพธิ์สามต้น  มีการแบ่งเขตออกเป็นเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาสด้วยทางเดินถนนคอนกรีตขนาด เล็ก  เขตพุทธาวาสประกอบด้วยอุโบสถ  เจดีย์ใหญ่ด้านหลังอุโบสถ  และสระน้ำโบราณทางทิศใต้ขนาดใหญ่เกือบเท่าความกว้างยาวของอุโบสถ  สิ่งก่อสร้างทั้งสามนี้มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา  ส่วนศาลาเล็กระหว่างอุโบสถและเจดีย์ใหญ่  และเมรุเผาศพ  สร้างเพิ่มสมัยปัจจุบัน  ส่วนเขตสังฆาวาสประกอบด้วย  หมู่กุฏิ  ศาลาการเปรียญ  หอสวดมนต์  หอระฆังและเจดีย์ขนาดเล็กทรงหกเหลี่ยม  และทรงแปดเหลี่ยม  รวม ๒ องค์  ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์
                ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาหลายฉบับได้กล่าวถึงวัดนี้ว่าเป็นสถานที่ตั้ง ค่ายและชุมนุมพลของทั้งกองทัพไทยและกองทัพพม่า  รวม ๓ ครั้งด้วยกัน
                ครั้งที่ ๑  เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๓  ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ  (พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๑๐) กรุงกัมพูชาหรือเขมรเกิดความไม่สงบ  เจ้านายเขมรคือ  นักพระรามาธิบดีกับนักพระศรีไชยเชษฐา  สู้รบกับญวนไม่ได้  จึงพาพระบรมวงศานุวงศ์  ข้าราชการและชาวเขมรหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารทางเมืองปราจีนบุรี  สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงเมืองปราจีนบุรีไปรับเข้ามายังพระนคร  แล้วมีพระบรมราชโองการให้พระยาราชสุภาวดีเป็นแม่ทัพเกณฑ์คนจำนวนหนึ่งหมื่น คน  โดยตั้งชุมนุมพลที่วัดพระเจดีย์แดง  ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชาสำเร็จ เขมรจึงตกเป็นประเทศราชของไทยอีกครั้งจนถึงเสียกรุง๒
                ครั้งที่ ๒  และ  ๓  ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์หรือพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์ (พ.ศ. ๒๓๐๑ - ๒๓๑๐)  กล่าวคือ


                เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๒  กองทัพพม่าภายใต้การควบคุมของพระเจ้าอลองพราญีมังลอง  ทรงส่งทัพหน้าซึ่งตั้งค่ายใหญ่  ณ ตำบลโพธิ์สามต้น  มีเนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพ  ไล่กองทัพไทยภายใต้การนำของหมื่นทิพเสนา  ปลัดกรมพระตำรวจในขวา  และกองพลทหารจีนที่มาช่วยรบจนสามารถเข้ามาตั้งค่ายที่เพนียด  วัดพระเจดีย์แดง  และวัดสามพิหาร  แล้วบังคับคนไทยให้ทำบันไดเป็นจำนวนมากสำหรับใช้พาดกำแพงปีนเพื่อปล้นเอา เมือง๑
                ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๐๘  ทัพพม่ายกเข้ามาทุกทิศทุกทาง  พระเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้เกณฑ์กองทัพไปตั้งรับพม่า  ณ ที่ต่างๆ ทัพหนึ่งจากเมืองนครราชสีมาตั้งค่ายอยู่ใกล้วัดพระเจดีย์แดง ทัพเมืองนครราชสีมาลงไปรักษาเมืองธนบุรี  เมื่อทัพพม่าจุดไฟเผาปราสาทที่เพนียดแล้ว ก็ตั้งค่ายลงที่เพนียด  วัดพระเจดีย์แดง  วัดสามพิหาร  ซึ่งตั้งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน รวมทั้งที่วัดใกล้เคียงอื่นๆ โดยปลูกหอรบตั้งปืนใหญ่ยิงเข้ามาในกรุงทุกๆ ค่าย๒

                โบราณสถานที่น่าชมภายในวัดเจดีย์แดง ได้แก่
                อุโบสถ   แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  หลังคามุงกระเบื้องดินเผาที่เรียกว่า  “กระเบื้องกาบกล้วย”  ลวดลายประดับหน้าบันรวมทั้งช่อฟ้าใบระกาชำรุดหักพังไปหมด  ด้านข้างมีชายคายื่นออกมาเล็กน้อย  ด้านหน้าและด้านหลังมีมุข  มุขแต่ละข้างมีเสารองรับสี่ต้น  สองต้นติดกับผนังอุโบสถ  และอีกสองต้นรองรับชายคา เป็นเสาสี่เหลี่ยมมีบัวหัวเสา  ผนังเจาะเป็นช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าข้างละ ๖ ช่อง  เจาะช่องประตูด้านละ ๒ ช่อง   ฐานอุโบสถมีลักษณะอ่อนโค้งแบบหย่อนท้องช้าง
                บนลานประทักษิณที่ยกสูงจากพื้นดินประมาณ ๖๐ - ๗๐ เซนติเมตร เป็นที่ตั้งเสมาล้อมรอบ ๘ ทิศ  เป็นเสมาเดี่ยวทำด้วยหินทราย  ขนาดเล็กไม่มีลวดลาย  แต่มีกระหนกที่เอว  ตั้งอยู่บนฐานสูงก่ออิฐถือปูน  ฐานเสมาประกอบด้วย ฐานเขียง  ฐานสิงห์  ฐานบัว  และฐานบัวกลุ่ม  มีขนาดลดหลั่นกันขึ้นไปจนถึงตัวใบเสมา
                ลักษณะอุโบสถและใบเสมา  แสดงให้เห็นว่าเป็นศิลปะอยุธยาตอนปลาย  (กำหนดอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔)         

              เจดีย์ใหญ่หลังอุโบสถ   ปัจจุบันได้รับการบูรณะจากกรมศิลปากรแล้วด้วยการพอกปูนและทาสีใหม่  แต่ยังคงรูปแบบเดิมไว้  จากการสอบถามพระภิกษุ  และชาวบ้าน  ทราบว่าเรียกชื่อวัดตามลักษณะของเจดีย์องค์นี้ก่อนที่จะได้รับการซ่อมแซมที่ มองเห็นเป็นสีแดง  เจดีย์แดงเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน  (อิฐที่ใช้มีขนาดเล็กกว่าอิฐสมัยอยุธยาตอนต้นและตอนกลาง) ประกอบด้วยฐานประทักษิณสูงลานแคบมาก  ฐานสิงห์ย่อมุมไม้ยี่สิบ  คือย่อด้านละห้ามุมลดหลั่นกันขึ้นไป  ถัดไปเป็นบัวกลุ่มปากระฆัง  องค์ระฆังทรงกลมรูปทรงเพรียว  จากนั้นเป็นบัลลังก์  ปล้องไฉนเป็นบัวกลุ่มซ้อนลดหลั่นกัน ๑๑ ชั้น  ปลีและเม็ดน้ำค้างเป็นลักษณะของเจดีย์สมัยอยุธยาตอนปลายที่ให้อิทธิพลต่อมา ยังเจดีย์ทรงเครื่องสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นอกจากนี้จะเห็นว่าลวดลายปูนปั้นประดับฐานสิงห์และลายเฟื่องอุบะ  ประดับส่วนบนขององค์ระฆัง  อาจทำขึ้นเพิ่มเติมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น   บริเวณฐานเจดีย์  พบเศียรพระพุทธรูปสลักจากหินทรายสีขาว ขนาดไม่ใหญ่นัก  สลักยังไม่เสร็จ  พร้อมกับชิ้นส่วนใบเสมาหินทรายสีขาว  ที่ส่วนปลายและกลางใบหรืออกเสมาสลักเป็นลวดลายดอกไม้ภายในเส้นขอบรูปสี่ เหลี่ยมขนมเปียกปูน  ลักษณะคล้ายกับใบเสมาที่วัดช่องนนทรี  กรุงเทพฯ  ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑)  ทั้งเศียรพระพุทธรูปและใบเสมา๑  คงสร้างขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน
                จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์  ศิลปะและโบราณคดีที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดสามารถสันนิษฐานได้ว่า  วัดเจดีย์แดง เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา  ก่อนปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ และเมื่อทรุดโทรมได้รับการบูรณะพัฒนามาโดยลำดับ

บรรณานุกรม

การศาสนา, กรม. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา,๒๕๒๕.

น.  ณ ปากน้ำ. ศิลปบนใบเสมา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ,๒๕๒๔.

ศิลปากร, กรม. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และพงศาวดารหนือ เล่ม ๒  พระนคร :องค์การค้า
ของคุรุสภา,๒๕๐๔.



* นางสาวพัชรินทร์  ศุขประมูล  ค้นคว้าเรียบเรียง

๑ กรมการศาสนา, ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร  เล่ม ๑  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๕), หน้า ๙๑.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น