ตะกรุดที่ขึ้นชื่อ มากด้วยประสบการณ์ แคล้วคลาด คงกระพัน ตะกรุดดำหลวงพ่อจำลอง
ตะกรุด
ดำเป็นหนึ่งในสี่ตะกรุดที่เลื่องลือของหลวงพ่อฯ พุทธคุณด้าน ป้องกันภัย
แคล้วคลาด คงกระพัน สภาพบุรุษ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ
พ่อค้าหรือผู้ที่ต้องเดินทางไกลมักจะบูชาคล้องคอเพื่อเป็นสิริมงคลและคุ้ม
ครอง ขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติงานหรือหน้าที่
ขอบอกว่ามากมายด้วยประสบการณ์การที่จะให้สิ่งศักดิ์แผ่บารมีเกื้อหนุนคุ้ม
ครองนั้น
จิตใจของผู้ครอบครองนั้นก็เป็นสิ่งประกอบสำคัญที่ต้องยึดมั่นในความดี เมตตา
ดังนั้นกุศลของผู้ที่ครอบครองประกอบกับพุทธคุณของหลวงพ่อในตัวตะกรุดก็จะส่ง
ผลให้ความสำเร็จความเจริญเข้ามาสู่ชีวิต
แบ่งวัตถุมงคลของ
หลวงพ่อฯกันไปบูชาครับ ราคาแบบเป็นจริงที่สุด
ค่าบูชาตะกรุด+ค่ากรอบ+ค่าจัดส่ง +(ค่าน้ำมัน) ก็เหลือน้อยครับ
รับจากมือหลวงพ่อบนกุฏิ ไม่ได้ไปเอาจากร้านที่ไหน
อยากให้ได้ของดีแก่เพื่อนๆสมาชิกและครอบครัวทุกท่านไปบูชากัน
ขนาดของตะกรุดยาว 7.8 ซ.ม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซ.ม.จัดส่งพร้อมรูปหลวงพ่อ+คาถาบูชา
หลวง
พ่อจำลอง วัดเจดีย์แดง เป็นพระเกจิที่มีชื่อเสียง ลูกศิษย์
ลูกหามากมายทั้งนอกและในตัวจังหวัดอยุธยาเอง
สังเกตจากกิจนิมนต์ของท่านในงานพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลที่มีเกจิอาจารย์ชื่อ
ดังมาร่วม ท่านจะเป็นหนึ่งในนั้นเสมอ
ตอนที่กระแสจตุคามกำลังมาแรงหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัดเพราะติดกิจนิมนต์แทบ
ทุกวันวัตถุมงคลของท่านที่รู้จักกันดีและขึ้น ก็คือ
ตะกรุดซึ่งตะกรุดของหลวงพ่อทำตามตำรับโบราณซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยกรุง
ศรีอยุธยา ทำจากตะกั่วรีดเป็นแผ่น ลงยันต์เฉลียวเพชร
ม้วนกลมแล้วถักด้วยด้ายสายสิญจน์ นำมาลงรักปิดทอง
ตะกรุดของ
ท่านมี 4 อย่าง คือ ตะกรุดดำ แดง สาริกา และตะกรุดไตรมาส
ซึ่งพุทธคุณในแต่ละดอกหรือวาระการทำก็จะมีความคล้ายหรือแตกต่างกันออกไปบ้าง
ตะกรุด
แดงให้พุทธคุณด้านเมตตามหานิยม เจรจา ค้าขายตะกรุดดำมีพุทธคุณด้านมหาอำนาจ
แคล้วคลาด คงกระพันตะกรุด(คู่)สาริกามีพุทธคุณด้านเมตตา มหาเสน่ห์ เจรจา
ค้าขายตะกรุดไตรมาส ปลุกเสกตลอดเข้าพรรษา รวมสุดยอดพุทธคุณ
ตะกรุด
ของหลวงพ่อนั้นมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม
ด้วยสีของแผ่นทองที่พันรอบตัวกับสีของตัวตะกรุด (ดำ,แดง)
เมื่อนำมาใส่กรอบก็จะดูคล้ายเครื่องประดับที่พร้อมไปด้วยพุทธคุณที่หลวงพ่อ
ได้บริกรรมคาถาใส่ในตัวตะกรุด
ตะกรุดดอกดำ
รวมสุดยอดประสบการณ์เมื่อก่อนใครจะรับดอกดำต้องรับพาน (รับพานครู)
ความหมายก็คือรับแล้วต้องลองเลย ซึ่งในปัจจุบันไม่ต้องแล้ว
ท่านคงอยากให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ของดีไว้ใช้เลยไม่ต้องรับพาน
แต่ก็มีบางคนที่แน่วแน่ที่ขอรับพานครูในทันที
เสียงหลวงพ่อบริกรรมคาถาพร้อมใช้มือลูบน้ำมนต์ลงไปที่หลัง
หลวงพ่อในท่ากึ่งยืนกึ่งนั่งกดมีดแหลมคมลากเป็นแนวยาวทั่วหลังเป็นสิบครั้ง
บนหลังมีแต่รอยลากนูนปนเลือดไหลซึมเป็นยางบอน แต่แผลไม่ฉีก
พิจารณามีดที่หลวงพ่อส่งให้ดู
สายตาทุกคู่และเสียงที่พึมพรำบนกุฏิอย่างอัศจรรย์
เหตุการณ์บนกุฏิยังติดตาผมและใครอีกหลายคนอยู่ เสียดายไม่ได้ติดกล้องไปด้วย
ตระ
กรุดดำส่วนมากจะพบเห็นในเหล่าผู้ชาย วัยรุ่น โดยเฉพาะตำรวจ ทหาร
ที่ต้องเดินทางไปปฏิบัติงานที่ภาคใต้ก็มาบูชาจากท่านไปก็พอสมควร
ถ้าท่านทราบก็จะนำเหล็กมาจานที่ตัวตะกรุดให้ด้วย มีโอกาสพูดคุยกับพี่ๆทหาร
บอกว่าจะนำไปติดตัวและให้เพื่อนเพราะมีประสบการณ์ตรงในพื้นที่
มีพี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างขับมาคนเดียวจากคลองสี่ ปทุมฯ แกไม่เคยมา
ขับไปถามทางเข้าวัดไป เสื้อวินก็ยังไม่ถอด มาเข้าแถวรอรับตะกรุดดำ
เล่าว่าตอนเช้าเพื่อนที่วิน คุยท้าถึงความขลังของตะกรุดบนคอตัวเอง
เลยท้านัดเอาปืนมายิงเพื่อพิสูจน์ ผลออกมาว่าดอกดำของหลวงพ่อ ยิงไม่ออก 4
ลูก ดูเสร็จขับรถมาเลย ดอกนี้แน่นอน พี่ถึงต้องมารับเอง
ใจร้อนเรื่องลองยิงอย่างนี้ผมก็เคยเจอตำรวจลองของในสนามยิงปืน
ติดตะกรุดของสำนักต่างๆ บนเป้า ที่ระยะ 2 เมตร สิ่งที่เกิดคือของหลวงพ่อ
ยิงไม่ออก ก็ถึงกับประหลาดใจ อีกคนที่มาด้วยหยิบปืนขึ้นมาเล็ง
ครู่นึงต้องวางปืนบอกใจมันไม่นิ่ง
ก็อดประหลาดใจว่าใช่พุทธคุณในตัวตะกรุดหรือไม่ ส่วนสำนักอื่นที่ลอง
เดาเอาเองครับ ถ้าประสบการณ์ตรงผมก็เรื่องขับรถแล้วเผลอหลับใน
อยู่ดีๆสะดุ้งตื่นมาเหยียบเบรกทันเลยผ่อนหนักเป็นเบา (วันนั้นขึ้นคอทั้ง 3
ดอกเลย) เคล็ดนิดหน่อย
ซ่อมรถไปหลักหมื่นตะกรุดแดงและสาริกาขนาดจะเล็กลงมาตามลำดับ
สาวๆที่ทำงานผมก็ใส่ขึ้นคอกันครับ เพราะผมเล่าให้ฟัง
ก็เลยฝากผมบูชามาให้ใส่กรอบสวยๆ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเป็นลำดับครับ
ทำงานไม่ติดขัดอะไร การเงินก็เริ่มดีขึ้น
ถ้าใจเราศรัทธาพุทธคุณก็นำพาและเสริมส่ง
นี่เห็นผมเหน็บตะกรุดคู่สาริกาที่กระเป๋าเสื้อแล้วดูสวย ก็จะฝากบูชากันอีก
เพราะรู้สึกว่าทำงานเข้าตาเจ้านาย
พ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายก็คล้องคอกันอยู่ครับคล้องคู่เลย แดง + สาลิกา
ยกตัวอย่างร้านขายก๋วยเตี๋ยวแถวงามวงศ์วาน คนแน่นทุกวัน
ใบ้ให้ว่าเป็นร้านเย็นตาโฟตะกรุดไตรมาส
ซึ่งเป็นตะกรุดที่หลวงพ่อท่านได้อธิฐานจิตปลุกเสกตลอดเข้าพรรษา 3 เดือน
ในโบสถมหาอุตและให้บูชาในวันออกพรรษาเพียงวันเดียว
ที่บอกว่าเพียงวันเดียวนั้นหมายความว่าเพียงวันเดียวก็บูชาจนหมด
ซึ่งในวันออกพรรษานั้นจะมีศิษยานุศิษย์มาร่วมทำบุญและรอบูชาตะกรุดกันอย่าง
เนื่องแน่น ตะกรุดไตรมาสจะมีสองขนาดจะมีขนาดใหญ่และเล็ก
ขนาดใหญ่นั้นจะหายากเพราะท่านสร้างน้อยกว่าและราคาขอแบ่งบูชาจากคนที่มีก็ไป
หลักเกือบครึ่งหมื่น
ส่วนใหญ่ตะกรุดไตรมาสจะหาบูชายากกว่าตะกรุดแบบอื่นเพราะคนที่มีจะเก็บไว้ใช้
เองเพราะหายาก 1 ปี 1 ดอก ราคาถ้าถามหาจากคนในพื้นที่เกินหลักพันแน่นอน
จริงๆ
แล้วตะกรุดของหลวงพ่อทุกชนิดทุกดอก น่าจะมีพุทธคุณที่คล้ายกัน
เพราะก่อนจะรับหลวงพ่อก็จะพรมน้ำมนต์และบริกรรมคาถากำกับด้วยเสียงที่เข้ม
ขลัง ก่อนส่งให้กับมือ
ยุคนี้คล้องวัตถุมงคลของหลวงพ่อติด
ตัวไปไหนดีกว่าใส่ทองครับ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจ ให้ระแวดระวัง มีสติ
ให้ทำสิ่งดี ไม่อันตราย พุทธคุณหลวงพ่ออยู่ข้างกาย
คิดแค่นี้ก็อุ่นใจแล้วครับ
วัดเจดีย์แดง*
วัดเจดีย์แดง
หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดแดง” ตั้งอยู่ที่บ้านแดง หมู่ที่ ๔
ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ปัจจุบันเป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่ ๑๙ ไร่ ๓ ตารางวา
พื้นที่เป็นที่ราบลุ่มประกอบด้วยสิ่งก่อสร้าง หรืออาคารเสนาสนะสำคัญๆ
คือ อุโบสถก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๔ เมตร
ศาลาการเปรียญสร้างด้วยไม้ ขนาดกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร กุฏิ ๗ หลัง
เป็นอาคารไม้ ๔ หลัง ครึ่งตึกครึ่งไม้ ๓ หลัง และหอระฆังก่ออิฐถือปูน๑
เมื่อพิจารณาแผนผังของวัดพบว่า ด้านหน้าของวัดหันไปทางทิศตะวันออก
ด้านหลังอยู่ใกล้กับแม่น้ำลพบุรีซึ่งเป็นเส้นทางไปออกโพธิ์สามต้น
มีการแบ่งเขตออกเป็นเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาสด้วยทางเดินถนนคอนกรีตขนาด
เล็ก เขตพุทธาวาสประกอบด้วยอุโบสถ เจดีย์ใหญ่ด้านหลังอุโบสถ
และสระน้ำโบราณทางทิศใต้ขนาดใหญ่เกือบเท่าความกว้างยาวของอุโบสถ
สิ่งก่อสร้างทั้งสามนี้มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
ส่วนศาลาเล็กระหว่างอุโบสถและเจดีย์ใหญ่ และเมรุเผาศพ
สร้างเพิ่มสมัยปัจจุบัน ส่วนเขตสังฆาวาสประกอบด้วย หมู่กุฏิ
ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอระฆังและเจดีย์ขนาดเล็กทรงหกเหลี่ยม
และทรงแปดเหลี่ยม รวม ๒ องค์ ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์
ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาหลายฉบับได้กล่าวถึงวัดนี้ว่าเป็นสถานที่ตั้ง
ค่ายและชุมนุมพลของทั้งกองทัพไทยและกองทัพพม่า รวม ๓ ครั้งด้วยกัน
ครั้งที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๓ ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ.
๒๒๗๕ - ๒๓๑๐) กรุงกัมพูชาหรือเขมรเกิดความไม่สงบ เจ้านายเขมรคือ
นักพระรามาธิบดีกับนักพระศรีไชยเชษฐา สู้รบกับญวนไม่ได้
จึงพาพระบรมวงศานุวงศ์
ข้าราชการและชาวเขมรหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารทางเมืองปราจีนบุรี
สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ข้าหลวงเมืองปราจีนบุรีไปรับเข้ามายังพระนคร
แล้วมีพระบรมราชโองการให้พระยาราชสุภาวดีเป็นแม่ทัพเกณฑ์คนจำนวนหนึ่งหมื่น
คน โดยตั้งชุมนุมพลที่วัดพระเจดีย์แดง ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชาสำเร็จ
เขมรจึงตกเป็นประเทศราชของไทยอีกครั้งจนถึงเสียกรุง๒
ครั้งที่ ๒ และ ๓
ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์หรือพระเจ้าอยู่หัว
พระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์ (พ.ศ. ๒๓๐๑ - ๒๓๑๐) กล่าวคือ
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๒ กองทัพพม่าภายใต้การควบคุมของพระเจ้าอลองพราญีมังลอง
ทรงส่งทัพหน้าซึ่งตั้งค่ายใหญ่ ณ ตำบลโพธิ์สามต้น
มีเนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพ ไล่กองทัพไทยภายใต้การนำของหมื่นทิพเสนา
ปลัดกรมพระตำรวจในขวา
และกองพลทหารจีนที่มาช่วยรบจนสามารถเข้ามาตั้งค่ายที่เพนียด
วัดพระเจดีย์แดง และวัดสามพิหาร
แล้วบังคับคนไทยให้ทำบันไดเป็นจำนวนมากสำหรับใช้พาดกำแพงปีนเพื่อปล้นเอา
เมือง๑
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๐๘
ทัพพม่ายกเข้ามาทุกทิศทุกทาง พระเจ้าอยู่หัวโปรดฯ
ให้เกณฑ์กองทัพไปตั้งรับพม่า ณ ที่ต่างๆ
ทัพหนึ่งจากเมืองนครราชสีมาตั้งค่ายอยู่ใกล้วัดพระเจดีย์แดง
ทัพเมืองนครราชสีมาลงไปรักษาเมืองธนบุรี
เมื่อทัพพม่าจุดไฟเผาปราสาทที่เพนียดแล้ว ก็ตั้งค่ายลงที่เพนียด
วัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร ซึ่งตั้งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน
รวมทั้งที่วัดใกล้เคียงอื่นๆ โดยปลูกหอรบตั้งปืนใหญ่ยิงเข้ามาในกรุงทุกๆ
ค่าย๒
โบราณสถานที่น่าชมภายในวัดเจดีย์แดง ได้แก่
อุโบสถ
แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามุงกระเบื้องดินเผาที่เรียกว่า
“กระเบื้องกาบกล้วย”
ลวดลายประดับหน้าบันรวมทั้งช่อฟ้าใบระกาชำรุดหักพังไปหมด
ด้านข้างมีชายคายื่นออกมาเล็กน้อย ด้านหน้าและด้านหลังมีมุข
มุขแต่ละข้างมีเสารองรับสี่ต้น สองต้นติดกับผนังอุโบสถ
และอีกสองต้นรองรับชายคา เป็นเสาสี่เหลี่ยมมีบัวหัวเสา
ผนังเจาะเป็นช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าข้างละ ๖ ช่อง
เจาะช่องประตูด้านละ ๒ ช่อง ฐานอุโบสถมีลักษณะอ่อนโค้งแบบหย่อนท้องช้าง
บนลานประทักษิณที่ยกสูงจากพื้นดินประมาณ ๖๐ - ๗๐ เซนติเมตร
เป็นที่ตั้งเสมาล้อมรอบ ๘ ทิศ เป็นเสมาเดี่ยวทำด้วยหินทราย
ขนาดเล็กไม่มีลวดลาย แต่มีกระหนกที่เอว ตั้งอยู่บนฐานสูงก่ออิฐถือปูน
ฐานเสมาประกอบด้วย ฐานเขียง ฐานสิงห์ ฐานบัว และฐานบัวกลุ่ม
มีขนาดลดหลั่นกันขึ้นไปจนถึงตัวใบเสมา
ลักษณะอุโบสถและใบเสมา แสดงให้เห็นว่าเป็นศิลปะอยุธยาตอนปลาย
(กำหนดอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่
๒๔)
เจดีย์ใหญ่หลังอุโบสถ
ปัจจุบันได้รับการบูรณะจากกรมศิลปากรแล้วด้วยการพอกปูนและทาสีใหม่
แต่ยังคงรูปแบบเดิมไว้ จากการสอบถามพระภิกษุ และชาวบ้าน
ทราบว่าเรียกชื่อวัดตามลักษณะของเจดีย์องค์นี้ก่อนที่จะได้รับการซ่อมแซมที่
มองเห็นเป็นสีแดง เจดีย์แดงเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน
(อิฐที่ใช้มีขนาดเล็กกว่าอิฐสมัยอยุธยาตอนต้นและตอนกลาง)
ประกอบด้วยฐานประทักษิณสูงลานแคบมาก ฐานสิงห์ย่อมุมไม้ยี่สิบ
คือย่อด้านละห้ามุมลดหลั่นกันขึ้นไป ถัดไปเป็นบัวกลุ่มปากระฆัง
องค์ระฆังทรงกลมรูปทรงเพรียว จากนั้นเป็นบัลลังก์
ปล้องไฉนเป็นบัวกลุ่มซ้อนลดหลั่นกัน ๑๑ ชั้น
ปลีและเม็ดน้ำค้างเป็นลักษณะของเจดีย์สมัยอยุธยาตอนปลายที่ให้อิทธิพลต่อมา
ยังเจดีย์ทรงเครื่องสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
นอกจากนี้จะเห็นว่าลวดลายปูนปั้นประดับฐานสิงห์และลายเฟื่องอุบะ
ประดับส่วนบนขององค์ระฆัง
อาจทำขึ้นเพิ่มเติมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น บริเวณฐานเจดีย์
พบเศียรพระพุทธรูปสลักจากหินทรายสีขาว ขนาดไม่ใหญ่นัก สลักยังไม่เสร็จ
พร้อมกับชิ้นส่วนใบเสมาหินทรายสีขาว
ที่ส่วนปลายและกลางใบหรืออกเสมาสลักเป็นลวดลายดอกไม้ภายในเส้นขอบรูปสี่
เหลี่ยมขนมเปียกปูน ลักษณะคล้ายกับใบเสมาที่วัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ
ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑)
ทั้งเศียรพระพุทธรูปและใบเสมา๑ คงสร้างขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ศิลปะและโบราณคดีที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดสามารถสันนิษฐานได้ว่า
วัดเจดีย์แดง เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ก่อนปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ และเมื่อทรุดโทรมได้รับการบูรณะพัฒนามาโดยลำดับ
บรรณานุกรม
การศาสนา, กรม. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา,๒๕๒๕.
น. ณ ปากน้ำ. ศิลปบนใบเสมา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ,๒๕๒๔.
ศิลปากร, กรม. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และพงศาวดารหนือ เล่ม ๒ พระนคร :องค์การค้า
ของคุรุสภา,๒๕๐๔.
* นางสาวพัชรินทร์ ศุขประมูล ค้นคว้าเรียบเรียง
๑ กรมการศาสนา, ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๕), หน้า ๙๑.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น