ปราชญ์ไทยหลายท่านได้ชวนกันสรุป แบบไม่มีเยื่อใยต่อชนชาติตนเองไ ปหลายครั้งแล้วว่าปราสาทเหล่านี ้เป็นของเขมร โดยอ้างว่าเขมรคือลูกหลานของขอม โบราณที่สร้างนครวัด ซึ่งชะรอยจะเป็นแนวคิดของนักวิช าการฝรั่ง(เศส)ที่มาสร้างกรอบให ้นักวิชาการไทยเราติดกับเหมือนก ับกรณีการอพยพจากเทือกเขาอัลไตน ั่นเอง บทความนี้จะแสดงเหตุผลให้เห็นว่ าขอมน่าจะคือชนเผ่าไทยหรือวัฒนธ รรมไทยโบราณที่เกิดอยู่ในดินแดนไทยมา นานหลายพันปี และบัดนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ละลายเจือสมอยู่กับสายเลือดไ ทยเรานี่เอง ส่วนเขมรนั้นน่าจะเป็นชนอีกเผ่า หนึ่งที่เข้ามาภายหลังแต่เมื่อข อมเสื่อมอำนาจลงและหนีร่นเข้ามา อยู่ในดินแดนประเทศไทยซึ่งเป็นป ระเทศแม่มาแต่โบราณกาล ซากปรักหักพังของอารยธรรมขอมโบร าณมีกระจายอยู่ทั่วดินแดนไทยในป ัจจุบัน โดยเฉพาะในภาคอีสานมีตั้งแต่สกล นคร อุดรธานี (อีสานเหนือ) เลาะเรื่อยมาทาง ขอนแก่น นครราชสีมา ไปจนถึง บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบล จากนั้นก็ลามขึ้นเหนือ มี ลพบุรี ศรีเทพ (เพชรบูรณ์) ศรีสัชนาลัย (สุโขทัย) อุตรดิตถ์ หริภุญชัย (ลำพูน) เรียกได้ว่าแผ่นดินไทยทั้งหมดเป ็นอายธรรมขอม ซึ่งกินพื้นที่ใหญ่กว่าแดนเขมรป ัจจุบันตั้ง 4 เท่า จู่ๆ ขอมก็เลือนหายไปจากประวัติศาสตร ์ อย่างไร้ร่องรอย แต่ลองคิดดูสิครับ ชนเผ่าจำนวนมหาศาลที่ครองดินแดน ใหญ่โตขนาดดังกล่าว และมีเทคโนโลยีและวัฒนธรรมอันสู งส่ง จู่ๆจะเลือนหายไปได้ง่ายๆหรือ หรือว่ามันก็อยู่ที่เดิมนั่นแหล ะเพียงแต่เปลี่ยนการเรียกชื่อ หรือ “ถูกเรียกชื่อ” เสียใหม่ตามแต่นักประวัติศาสตร์ (ฝรั่ง)อยากจะเรียกเท่านั้นเอง ซึ่งชักนำให้นักวิชาการไทยหลายค นพากันสรุปแบบเซื่องๆตามฝรั่งว่ าขอมคือบรรพบุรุษของเขมร และยังยกย่องเขมรว่าในอดีตเข้มแ ข็งจนครอบครองดินแดนไทยไปถึงสุโ ขทัยโน่น และดังนั้นเขาพระวิหารจึงเป็นขอ ง“เขมร”มานานแล้วอย่างไม่ต้องเส ียแรงสงสัย นิสัยเด่นของคนไทยและนักประวัติ ศาสตร์ไทยเรานั้นคือ อชาตินิยม กล่าวคือ ถ้ามีอะไรที่เราเหมือนต่างชาติ เป็นต้องสรุปว่าลอกมาจากต่างชาต ิเสมอ ยังไม่เคยเห็นนักประวัติศาสตร์ไ ทยสักคนเดียวที่กล้าสรุปว่าวัฒน ธรรมต่างๆเป็นของไทยล้วนๆ โดยไม่ได้ลอกมาจากต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย พม่า เขมร (ขอม?) มอญ ลาว ญวน แม้แต่อินโด มาเลย์ ก็ไม่เว้น แม้ขนาด “ปลาบึก” ยังไม่สามารถเกิดในน่านน้ำไทยได ้เลย ต้องสรุปว่าว่ายมาจากฝั่งลาวโน่ น ส่วนปลาทู นั้น ก็มีนักวิชาการไทยบางคนสรุปว่า เป็นปลาของพม่าไปแล้ว เพียงเพราะว่าฝั่งพม่าก็เรียกว่ าปลาทูเหมือนกัน!!! เชื่อได้ว่าอาณาจักร ละโว้ ทวารวดี ศรีวิชัย ซึ่งก็เป็นเพียงชื่อที่เลือนๆลา งๆขาดๆวิ่นๆ ในประวัติศาสตร์ ก็คงจะทับซ้อนกับอาณาจักรขอมด้ว ย หรือไม่ก็เป็นอาณาจักรเดียวกันน ั่นแหละเพียงแต่เรียกชื่อต่างกั นไปตามเหตุปัจจัยอันแสนหลากหลาย ทางประวัติศาสตร์ น่าคิดด้วยว่า ขอม นั้นอาจไม่ใช่อาณาจักรที่เป็นรู ปธรรม แต่เป็นเพียงชื่อเรียกอารยธรรม อาณาจักรที่กล่าวมานั้นอาจมีอาร ยธรรมเดียวกันคืออารยธรรมขอมนั่ นเอง หลักฐานอารยธรรมขอมมีให้เห็นทั่ วไปในแผ่นดินไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะที่เมืองเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา มีพระนอนขนาดใหญ่สร้างด้วยศิลาแ ลงอายุ 1300 ปี ตั้งอยู่ใกล้ๆปราสาทหินขอมโบราณ ขนาดเล็กหลายปราสาท ซึ่งเป็นหลักฐานว่า “ขอม” ในช่วงนั้นก็นับถือทั้งพุทธและพ ราหมณ์ พร้อมๆกัน และศูนย์กลางขอมก็น่าจะอยู่แถวๆ นครราชสีมานี่แหละ อย่าลืมด้วยว่าดินแดนโคราช เจริญมาช้านาน โดยมีชุมชนโบราณที่ใหญ่โต ก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอายุ 5000 ปีที่บ้านโนนวัด (ยุคเดียวกับบ้านเชียง มีการหล่อสำริดด้วย) และอายุ 3000 ปีที่บ้านธารปราสาท ใน จ.นครราชสีมาปัจจุบันนี้มีวิหาร หิน และปรางค์แบบพราหมณ์ใหญ่น้อยถึง 36 แห่ง โดยเฉพาะปราสาทหินพิมายนั้นใหญ่ โตมโหฬารพอควร ซึ่งวินิจฉัยกันว่ามีอายุแก่กว่ านครวัดประมาณ 100 ปี คือสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมั นที่ ๑ (สรม. ๑) ส่วนนครวัดสร้างในสมัยสรม. ๒ (ซึ่งคงไม่ได้เป็นพระโอรสของ สรม. ๑ เพราะห่างกัน 100 ปี) ตรงนี้น่าสนใจมาก และน่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่ านครวัดนั้นสร้างโดยขอมที่อพยพไ ปจากแผ่นดินไทย สำหรับปราสาทพระวิหาร มีคำสลักบนแผ่นหินว่า “สุริยวรมัน” (ไม่ได้บอกว่าที่ ๑ หรือ ๒ แสดงว่าต้องหมายความโดยปริยายว่ า ๑ นั่นเอง) แถมบันไดหันมาทางด้านศรีสะเกษ แสดงว่า สรม. ๑ ผู้ทรงสร้างปราสาททั้งสองหลังนี ้ ทรงประทับอยู่ทางฝั่งนี้ แน่นอน อาจเป็นที่พิมาย หรือที่กันทรลักษณ์ หรือระหว่างทางของทั้งสองเมืองน ี้ (นักวิชาการบางคนก็ไปสรุปว่า สรม. ๑ ประทับอยู่ที่เสียมราฐของเขมรใน ปัจจุบันเสียอีก ซึ่งถ้าประทับเช่นนั้นจะมาลงแรง ปีนเขามาสร้างปราสาทพระวิหาร แล้วหันบันไดทางขึ้นไปทางศรีสะเ กษทำไม? แล้วทำไมต้องไปสร้างอีกปราสาทไว ้ไกลถึงพิมายด้วยเล่า ก็ถ้าอยู่แถวนั้นเสียแล้วก็สร้า งปราสาทมันที่เสียมราฐเสียเลยจะ ไม่ดีกว่าหรือ) สรม. ๑ นั้นหลังจากสร้างปราสาทพิมายและ พระวิหารเสร็จก็น่าจะถูกยึดอำนา จ โดยชัยวรมัน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการสร้างปร าสาทนี่แหละ เพราะต้องเกณฑ์แรงงานมาก สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมา ก จากนั้นชัยวรมันก็ครองอำนาจมาได ้หลายองค์กินเวลาประมาณ 100 ปีพอดี ในระหว่างนี้ลูกหลานของ สรม. ๑ ที่หนีรอดตายจากการยึดอำนาจของ ชรม. ๑ แล้วไปสร้างบ้านแปงเมืองอยู่ที่ เสียมราฐ ก็เข้มแข็งขึ้น แล้วยกทัพกลับมาตีเอาพิมายคืนได ้ในที่สุด จากนั้นจึงสถาปนาตนขึ้นเป็น สุริยวรมันที่ ๒ ซึ่งห่างจากองค์ที่หนึ่งถึง 100 ปี จากนั้นก็เอาเทคโนโลยีการก่อสร้ างปราสาทหินกลับไปยังเสียมราฐเพ ื่อสร้างนครวัดให้ยิ่งใหญ่กว่าท ี่สริยวรมันที่ ๑ ได้สร้างไว้เสียอีก มีความเป็นไปได้ว่า สรม. ๒ อาจบนบาลเทพเจ้าว่าหากกู้บัลลัง ก์ได้สำเร็จจะสร้างนครวัดถวายเป ็นการบูชา อนึ่ง คำว่า เสียมราฐ นั้น ก็อาจเป็นชื่อที่บ่งว่าเป็น รัฐแห่งชาว เสียม หรือ สยาม นั่นเอง เนื่องจากคน สยาม จากพิมายเป็นผู้ก่อตั้ง เป็นไปไม่ได้ที่กษัตริย์ที่ทำงา นใหญ่เช่นการสร้างนครวัดอย่างสร ม. ๒ จะไม่มีการส่งสืบสันตติวงศ์ไปยั งสรม. ๓ ๔ ๕ เพื่อกระทำภารกิจอันศักดิ์สิทธิ ์ให้แล้วเสร็จ แต่อนิจจาเมื่อสรม. ๒ สร้างนครวัด ยังไม่แล้วเสร็จก็ถูกลูกหลานของ ชรม. ทางพิมายบรีรัมย์ศรีสะเกษรวมกำล ังกันเข้ามายึดอำนาจคืนอีก ดังนั้นนครวัดจึงมาเสร็จเอาสมัย ของชัยวรมันที่ ๗ แทนที่จะเป็น สุริยวรมันที่ ๓ ทั้งหมดนี้ก็ชนเผ่าสยามรบแย่งชิ งอำนาจกันนั่นเอง โดยไม่ได้มีเขมรเข้ามาในภาพเลย สรุปคือพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (ผู้สร้างปราสาทหินพิมาย และ พระวิหาร) สรม. ๒ ชรม. ๗ ก็น่าจะคือแถวๆ พิมาย หรือ ศรีสะเกษนี่เอง คนเหล่านี้เป็นชนเผ่า อาหม ขะหม ขะหอม ขอม หรือ อาหม สยม สยาม หรือ ขะหอม สะหอม สะหยาม เรานี่แหละ ดังนั้นจึงมีจารึกที่กำแพงนครวั ดว่าพวก “สยาม” ยกทัพมาช่วยรบกับพวกจัมปา (แขกจาม...ซึ่งอาจหมายถึงพวกเขม รนี่เอง) ถามว่าแล้วพวกสยามจะมาช่วยรบทำไ ม ถ้าไม่ใช่พี่น้องกันแต่ดั้งเดิม นครวัดนั้นใหญ่โตมโหฬาร จู่ๆนึกจะสร้างก็คงไม่ได้หรอก มันต้องมีเทคโนโลยีพื้นฐานรองรั บเสียก่อน คือต้องเรียนจากประถม มัธยม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ตามขั้นตอน เช่น เทคโนโลยีการตัดหิน ลากหิน ยกหิน ก้อนละเป็นตันๆ มันไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเอาได้ช ั่วข้ามคืน แต่มันต้องสะสมบ่มเพาะมาจากการส ร้างวัดขนาดเล็กก่อน เช่น แถว อ. สูงเนิน โคราช ปราสาทพนมวัน พิมาย พระวิหาร พนมรุ้ง เป็นต้น ปราสาทหินพิมายนั้นไปตัดหินมาจา กอ.สีคิ้ว แล้วลากไปพิมายระยะทาง 100 กม. โน่น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สรุปคือนครวัดนั้นน่าจะสร้างโดย ชาว “ขอมพิมาย” เรานี่เอง ไม่ได้สร้างโดยชาว ขะแมร์แต่ประการใด และสร้างจากต้นแบบ แนวคิด ศิลปะ และเทคโนโลยีจากพิมาย แม้แต่นางอัปสรที่ฟ้อนรำยังมีลั กษณะเหมือนกัน (ได้ยินเขาว่ากัน) เมื่อตอนนักล่าอาณานิคมฝรั่งเศส ค้นพบปราสาทนครวัดนั้น บริเวณวัดปกคลุมด้วยป่าทึบโดยรอ บ ซึ่งแสดงว่าถูกปล่อยร้างมานานหล ายร้อยปี ซึ่งแสดงว่า “เขมร” ก็ไม่ได้สนใจปราสาทนี้เลยนับแต่ ที่ “ขอมโบราณ” ได้ละทิ้งปราสาทนี้ไปอย่างไร้ร่ องรอย ถ้าเขมรสร้างปราสาทนี้ขึ้นมาด้ว ยตัวเอง ก็น่าที่จะหวงแหนมากและควรจะสร้ างบ้านแปงเมืองอยู่รอบๆ ปราสาทนี้อย่างต่อเนื่องตลอดมา เพราะปราสาทใหญ่โตงามสง่าปานนี้ จะปล่อยให้ทิ้งร้างไปง่ายๆเช่นน ี้ได้อย่างไร นักวิชาการฝรั่งเองยังวิจัยกันว ่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่ส ุดในโลก (ในสมัยโน้น) ใหญ่กว่าลอนดอน และปารีส เสียอีก นักวิชาการฝรั่งสันนิษฐานกันไปต ่างๆนาๆว่าเมืองนี้ร้างไปได้อย่ างไร ส่วนใหญ่ก็ว่าไม่เป็นเพราะสงครา มก็โรคร้าย แต่ผู้เขียนไม่คิดเช่นนักวิชากา รฝรั่ง เพราะปารีส ลอนดอน ก็โดนสงครามและโรคร้ายคุกคามมาต ลอด ทำไมจึงไม่รกร้างเล่า? การลงทุนทางมนุษยชาติมากมายขนาด นครวัดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ (ใช้เวลาสร้างตั้ง 100 กว่าปี) มันมีโมเมนตัมทางมนุษยชาติมหาศา ลที่จะเป็นพลังทำให้ดำรงอยู่ตลอ ดไป ไม่รกร้างได้ง่ายๆหรอก ขนาดเมืองเล็กๆ เช่น สุโขทัย เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา อยุธยา เชียงแสน อุตรดิตถ์ เวียงจันทร์ หลวงพระบาง ก็ไม่เคยรกร้าง มีการครองพื้นที่ต่อเนื่องตลอดม าทั้งที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่แบพระนคร (วัด)เลย ดังนั้นถ้าเขมรคือผู้ก่อสร้างนค รวัดจริง คงไม่ปล่อยให้นครวัดรกร้างไร้กา รครองพื้นที่นับร้อยปี ทั้งที่ก็อยู่ในดินแดนเขมรนั่นเ อง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เพียงแ ต่จะคิดว่าเขมรสร้างนครวัด ผู้เขียนเชื่อว่าการรกร้างของนค รวัดนั้นเป็นเพราะสงคราม “ผนวกกับความเชื่อด้านไสยศาสตร์ ” โดย “เขมร” เข้ามาตีขอมนครวัดแตกไป (คนป่ามักตีคนเมืองแตกเสมอ ดังเช่น กรุงโรมก็โดนมาแล้ว) ขอมนครวัดก็เลยถอยร่นเข้ามาอยู่ ในแดนสยามซึ่งเป็น “แผ่นดินแม่” ของตนจนหมดสิ้น ปล่อยให้เขมรครองนครวัด แต่เขมร “ไม่กล้า” ครอง เพราะกลัวจะเกิดความวิบัติจากกา รสาปแช่งของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ที่สิงห์สถิตอยู่นั้น ก็เลยปล่อยทิ้งให้รกร้างมานานนั บร้อยปีนั่นแล แล้วเขมรก็ถอยร่นไปอยู่ริมทะเลต ามเคยปล่อยให้นครวัดเป็น ”แดนกันชน” ระหว่าง ขอม (สยาม) กับ เขมร มาจนถึงยุคฝรั่งเศสเป็นใหญ่นั่น แล น่าครุ่นคำนึงต่อไปว่าเมื่อขอมแ พ้เขมรที่นครวัดแล้ว พวกเขาอันตรธานหายไปไหน คงไม่ได้ถูกฆ่าตายเสียหมดดอกเป็ นแน่ หรือว่ามันมีการเชื่อมโยงกับการ ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา เพราะอยุธยาก่อตั้งมาประมาณ 650 ปีได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะตรงกับช่วงที่นครว ัดถูกยึดโดยเขมรพอดี โดยพงศาวดารเราเชื่อกันว่าพระเจ ้าอู่ทองจากสุพรรณบุรีมาก่อตั้ง อยุธยา แต่หากคิดให้ดี ท่านจะมาทำไมในเมื่อสุพรรณก็อุด มสมบูรณ์ดีไม่แพ้อยุธยา ตอนนั้นการรบกับพม่าก็ยังไม่มี หรือว่ามันมีปัจจัยเสริมจากขอมท ี่แตกทัพเขมรมาแต่นครวัด ชาวขอมจำนวนมหาศาลหลายแสนคนไม่ม ีเมืองจะอยู่ ก็เลยอาจเป็นปัจจัยให้พระเจ้าอู ่ทองมาสร้างเมืองใหม่ก็เป็นได้ ผนวกกับการวิเคราะห์ของนักวิชาก ารไทยที่ว่าแต่ก่อนไทยเรา (สุโขทัย) ปกครองโดยกษัตริย์แบบธรรมราชา แต่พอมาถึงอยุธยากลับปกครองแบบ เทวราชา ซึ่งบังเอิญไปพ้องกับระบบเทวราช าของพวกขอมนครวัดพอดีอย่างเหมาะ เจาะอะไรเช่นนี้ เช่น การตั้งชื่อกษัตริย์เป็นเทพเจ้า แห่งลัทธิพราหมณ์ (เช่น พระรามาธิบดีที่ ๑) การเปลี่ยนระบบการปกครองได้รวดเ ร็วเช่นนี้ไม่น่าใช่เรื่องวิวัฒ นาการ หรือว่ามันเป็นการยกระบบมาครอบโ ดยพวกขอมที่อพยพมาจากนครวัดนั่น เอง ขอสรุปว่า ขอมโบราณกับไทยโบราณ อย่างน้อยต้องเป็นเครือญาติกัน ถึงอย่างมากก็เป็นพวกเดียวกันไป เลยเพราะเราอยู่ร่วมแผ่นดินขวาน ทองแบบผสมกลมกลืนกันมาช้านานหลา ยพันปีแล้ว จริงอยู่พงศาวดารจารึกว่าทำสงคร ามกันบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาของชนเผ่าโบร าณเพราะแม้สยาม-ล้านช้าง-เชียงใ หม่ ก็ทำสงครามกันอยู่เนืองๆ ส่วนเขมรนั้นสันนิษฐานโดยตรรกได ้ว่าไม่น่าใช่ชนเผ่าขอมที่สร้าง ปราสาทนครวัด (และพระวิหาร พิมาย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของจำ นวนพลเมืองเขมรในยุคนั้นไม่น่าม ีมากพอขนาดที่จะทำการก่อสร้างสิ ่งมหึมานี้ได้ อย่าลืมด้วยว่าคนงานก่อสร้างนับ แสนต้องมีมวลชนอีกมหาศาลเพื่อรอ งรับด้านการส่งกำลังบำรุง อีกทั้งวัฒนธรรมและเทคโนโลยีการ ก่อสร้างของเขมรก็ไม่เคยได้ยินว ่าได้มีการพัฒนามาอย่างยาวนานแล ะต่อเนื่องเช่นพวกขอม อีกทั้งลักษณะทางกายภาพของชาวเข มรต่างจากคนบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ มาก กล่าวคือ มีลักษณะผิวคล้ำ ผู้เขียนหยิก จมูกรั้น ซึ่งละม้ายกับพวกชาวเกาะแถวอินโ ดนีเซียเสียมากกว่า ชะรอยชาวเขมรจะอพยพมาจากทางโน้น อีกทั้งอาณาจักรจาม หรือ จัมปา ทางตอนใต้ของเวียตนามนั้นเล่า ไทยเรามักเรียกว่า “แขกจาม” ก็อาจจะเป็นพวกเดียวกับเขมรก็เป ็นได้ เพราะโดยคำว่า “แขก” นั้นไทยเรามักหมายถึงพวกที่มีผิ วคล้ำผู้เขียนหยิก อาจเป็นไปได้ว่าเขมรปัจจุบันนี้ เป็นกลุ่มหนึ่งที่แตกออกมาจากอา ณาจักรจาม (เหมือนกับที่ลาว-ไทย-ไทยใหญ่แต กออกจากกันนั่นเอง) เป็นไปได้ยากว่า “ขอม” จะหมายถึงกลุ่มชนชาวเขมรที่ได้ข ยายอำนาจจากดินแดนเขมรปัจจุบันอ อกมาทางพิมายและลพบุรี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะต้องสร้า งปราสาทหินทางโน้นก่อน แล้วจึงมาสร้างทางฝั่งไทยทีหลัง เพราะเทคโนโลยีการสร้างนี้ไม่ใช ่ง่ายๆ มันต้องเริ่ม “หัดเดิน” ที่พิมายและพระวิหารเสียก่อน จึงจะไป”วิ่ง”ที่นครวัดได้ มีผู้สังเกตไว้มากรายว่าศิลปะที ่นครวัดเหมือนกับที่พิมาย(ซึ่งเ กิดก่อน) อีกทั้งเส้นทางโบราณที่ค้นพบว่า เป็นถนนหินจากพิมายไปสู่นครวัดน ั้นก็เป็นหลักฐานหนึ่งว่านครวัด เชื่อมโยงกับพิมาย โดยตีความว่าเป็นเพราะเมื่อ สรม. ๒ กลับมายึดพิมายคืนจาก ชรม. ได้แล้วก็เลยให้สร้างถนนนี้ไว้เ พื่อเชื่อมโยงระหว่างเมืองทั้งส องให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ซึ่งแสดงว่าพิมายคงจะใหญ่โตมาก จึงคุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อเป็น เส้นทางค้าขายระหว่างกัน (รวมทั้งการเดินทัพ) ข้อสังเกตในบทความนี้อาจผิดถูกอ ย่างไร ขอท่านผู้อ่านโปรดช่วยกันวิจารณ ์อย่างสร้างสรรค์ต่อไป และหรือนำไปเป็นประเด็นในการศึก ษาวิจัยกันต่อไป วิงวอนนักศึกษาประวัติศาสตร์ว่า อย่างเพิ่งด่วนสรุปว่า ขอมคือเขมร และ เขมรสร้างนครวัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น