เปิบข้าว
เคยมีหนังสือเล่มนี้สมัยเรียนม.ปลายแต่เพื่อนยืม แล้วหาย ซื้อหนังสือกวีความรักมาให้ แต่ก็ไม่เคยลืม
จนได้ฟังเพลง ทำให้นึกถึงหนังสือเล่มนั้น ชนชั้นกรรมาชีพยังไม่ได้หมดไปจากประเทศไทย
ใคร
ที่ยัง โง่ จน เจ็บ ใครที่ร่ำรวยจากน้ำพักน้ำแรงของชาวนา ไม่ได้รู้จัก "
จิตร ภูมิศักดิ์"เพราะเกิดหลังยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน
แต่รู้จักการต่อสู้ของประชาชน
" เปิบข้าว "
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้น่ะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังซิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
(จิตร ภูมิศักดิ์)
มี
หลายคนเข้าใจผิด ว่าการเปิบข้าวนี้เป็นลักษณะการกินข้าวแบบชาวอีสาน
แต่แท้ที่จริงแล้วการเปิบข้าวคือวัฒนธรรมการกินข้าวของคนไทยทุกภาคและที่
สำคัญคือจะเน้นใช้กับข้าวสวย หรือข้าวจ้าวซะมากกว่า พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 เปิบ, เปิบข้าว ก. ใช้ปลายนิ้วขยุ้มข้าวใส่ปากตนเอง
นั่นหมายถึงการใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง
รวมถึงนิ้วก้อยตะล่อมข้าวมาให้พอคำ
แล้วยกป้อนเข้าปากจากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยดันเข้าปาก
แสดงว่าการเปิบข้าวนี้เน้นที่การกินหรือทานข้าวสวยมากกว่าข้าวเหนียว
ซึ่งภาคอีสานจะใช้คำว่า จก ปั้น จ้ำ คุ้ย กับการกินข้าวกับข้าวเหนียว
การเปิบข้าวไม่ใช่แค่เพียงวัฒนธรรมไทยเท่านั้น
แม้แต่ชาติอื่นในภูมิภาคอุษาคเนย์รวมทั้งชาติอาหรับหรือแอฟริกาก็มีวัฒนธรรม
การกินข้าวแบบเปิบทั้งสิ้น
จึงถือเป็นการกินข้าวแบบปกติของชาวไทยทุกภูมิภาคในอดีตในยุคที่การใช้ช้อน
ส้อมยังไม่แพร่หลาย
ในทศวรรษที่ 2490
ช่วงที่คุณจิตร
ภูมิศักดิ์ประพันธ์บทกวีบทนี้ก็เป็นช่วงที่การใช้ช้อนส้อมยังไม่เป็นที่แพร่
หลาย คนส่วนใหญ่ไม่ว่าระดับไหนก็ล้วนทานข้าวแบบเปิบข้าวด้วยทั้งนั้น
สังเกตจากสำรับอาหารไทยจะมีขันน้ำใบขนาดกลาง ๆ
ใส่น้ำไว้เพื่อให้คนที่ทานสำรับข้าวได้ชุบมือเพื่อกำจัดเศษอาหารที่ติดมือ
อันทำให้ดูไม่งาม
หลายคนที่ตั้งข้อสังเกตว่าบทกวีนี้พูดถึงการกินข้าวแบบอีสานจึงไม่ถูกต้อง
บางคนถึงกับตั้งข้อวิพากษ์ว่า
ข้าวในผืนนาจากภาคอีสานในสมัยนั้นจะมาถึงคนกรุงได้อย่างไร
เพราะภาคอีสานล้วนแห้งแล้งกันดาร การคมนาคมขนส่งก็แสนยากลำบาก
และเพราะเห็นว่าคนกรุงนั้นล้วนกินข้าวจากพื้นนาในภาคกลางทั้งสิ้น
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคุณจิตร
น่าจะต้องการสื่อความหมายถึงชาวนาทั่วทุกภูมิภาคไม่จำกัดแต่เฉพาะเพียงภาค
อีสาน และไม่ได้เจาะจงว่าเป็นชนชั้นปกครองหรือคนเมืองในภูมิภาคไหน
นั่นเพราะทั่วถิ่นแดนไทยล้วนบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักทั้งสิ้น
และยิ่งสมัยนั้นด้วยแล้วคนภาคกลางล้วนเปิบข้าวกันทุกจังหวัด
ถือเป็นการมีโลกทัศน์ที่กว้างของคุณจิตร
หรือหากจะมองด้านการขนส่งจำหน่ายข้าวแบบปัจจุบันแล้ว
ข้าวที่ขึ้นห้างให้เราได้กินนั้นเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามาจากภูมิภาคไหน
และข้าวในภูมิภาคอีสานของไทยก้ยังมีชื่อเสียงระดับโลก เช่น ข้าวหอมมะลิ
เป็นต้น เพลงนี้จึงต้องการชี้นำบอกกล่าวหรือสั่งสอนให้คนทั้งประเทศ
และยังมีความทันสมัยอินเทรนด์ตลอดเวลาตราบเท่าที่ประเทศไทยยังมีการบริโภค
ข้าวและทำอาชีพเกษตรกรรมอยู่
บทประพันธ์นี้คุณจิตรได้ใช้ถ้อยคำที่ประชดประชันชนชั้นปกครอง
รวมถึงคนในชุมชนเมืองที่ถือว่าตนเองศิวิไลซ์และมักดูถูกชาวนาว่าด้อยค่า
ให้รู้ว่าข้าวทุกเม็ดที่เราเปิบหรือหม่ำๆๆ
ล้วนมาจากหยาดเหงื่อแห่งความทุกข์ยากของชาวนาทั้งสิ้น
เป็นการสะกิดเตือนให้รู้ซึ้งถึงการต่อสู้ของชาวนาผู้เป็นกระดูกสันหลังของ
ชาติ
หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเอาแรงกายใจต่อสู้กับธรรมชาติรวมถึงอำนาจการขูดรีดกด
ขี่ของเหล่าพ่อค้าคนกลาง
เพื่อให้ได้เมล็ดข้าวสีขาวให้เราได้บริโภคจนอิ่มหนำเติบโต
หรือจะให้ทันสมัยหน่อยก็เอาไปบดหมักทำเป็นแป้งพิซซ่าราดซอสมะเขือเทศให้คุณ
หนู ๆ ขาได้กินอร่อยลิ้น แม้จะไม่ได้ผลกำไรอย่างเช่นคนที่คาดหวังกับ
demand & supply เหมือนคนเมืองทั้งหลาย
แต่ก็ยังต้องสู้ทนประทังชีวิตไปวัน ๆ เพราะไม่ทำแล้วก็ต้องอดตาย
ยิ่ง
เดี๋ยวนี้น้ำท่วมทุ่งนาทุกปี
พืชผลทางการเกษตรก็เสียหายหนำซ้ำยังไร้คนเหลียวแลอย่างจริงจังและจริงใจไม่
ไก่กาด้วยแล้วยิ่งมีแต่หมดหวังและตังค์หมด
หรือเพราะความทุกข์ยากอย่างนี้เองชาวนาหลายคนจึงหันมาทำอาชีพอื่นกัน
หมด ลูกหลานชาวนาพอจบชั้นม.6
โรงเรียนบ้านหนองใหญ่ก็พากันเข้าเมืองมาเป็นดาวเดือนมหาลัย
ที่นาที่มีอยู่ก็ขายทำเป็นคอนโด
แล้วอย่างนี้อีกหน่อยใครจะมาปลูกข้าวให้เรากิน
แต่ไม่แน่ดาวเดือนมหาลัยผู้เป็นลูกชาวนาอาจจบสถาปัตย์มาดีไซน์คอนโดให้คน
ปลูกข้าวบนพื้นปูนได้ใครจะไปรู้ ถึงเวลานั้นขึ้นมาจริง ๆ
อาจต้องกัดกินผนังตึกแทนข้าวก็เป็นได้ (เพ้อ...ซะงั้น)
จากวรรคที่ว่า "น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน สาย
เลือดกูทั้งสิ้น
ที่สูซดกำซาบฟัน" เป็นการแสดงออกถึงศักดิ์ศรีของชนชั้นกรรมาชีพ
เพื่อเตือนให้ชาวเมืองรู้ว่าทุกเม็ดข้าวที่เข้าปากล้วนเกิดจากน้ำเหงือและ
สายเลือดของชาวนาทั้งสิ้น ลึกกว่านั้นคุณจิตร
คงไม่ต้องการให้ชาวนากรรมาชนถูกกดขี่ข่มเหงหรือถูกใช้เป็นเครื่องมือนั่น
เอง
ลูกเขยชาวนา....24 กพ 57...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น