นักเดินทางที่ได้พาตัวเองขึ้นไป เหยียบยืนอยู่เหนือยอด ‘เนินช้างศึก’ แห่งเหมืองปิล๊อกเป็นครั้งแรกนั ้น มักคล้อยคิดไปในทำนองเดียวกันว่ า.. “นี่เราไปอยู่ที่ไหนมา ถึงได้ผาดสายตาผ่านแหล่งท่องเที ่ยวอันสุขสงบแสนงดงามแห่งนี้ไปไ ด้”
บทบันทึกของนักนิยมธรรมชาติผู้ห ลงใหลในกลิ่นอายหมอก และภาพชวนฝันของระลอกเขา เทือกแล้ว.. ทิวเล่า.. หมุดหมายปลายทางของพวกเขาส่วนใหญ่มักไปปรากฏอยู่ตามดง ดอยต่างๆ ในพื้นที่แถบภาคเหนืออันไกลโพ้น ที่กว่าจะไปถึงได้ในแต่ละคราวต้ องอาศัยทั้งพลังกายและหัวจิตหัว ใจมุ่งมั่นไป หากแต่ใครจะรู้.. ห่างจากเมืองมหานครอย่างกรุงเทพ ฯ เพียงแค่สามร้อยกิโลฯ กว่าๆ ณ รอยต่อเขตแดนระหว่างราชอาณาจักร ไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ยังมีดินแดนที่ว่าอีกแห่ง ซุกซ่อนตัวอยู่บนสันผากลางผืนป่ ากาญจนบุรี ที่ที่ซึ่งลมหนาว.. ทะเลหมอก.. ท้องฟ้าสีครามเข้ม.. และกระแสลมยะเยือก.. สลับสับเปลี่ยนเวียนกันมาทักทาย เหล่านักท่องธรรมชาติตลอดทั้ง 365 วัน
บทบันทึกของนักนิยมธรรมชาติผู้ห
‘คู่หูเดินทาง’ ฉบับในอ้อมกอดของเหมันต์ ปรารถนาจะพาเพื่อนของเราข้ามทะเ ลเขาไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของเม ืองเล็กๆ กลางพงพนา ผ่านอดีตอันโชติช่วงของนครแห่งเ หมืองแร่นามว่า ‘ปิล๊อก’
เล่ากันว่า.. ‘ปิล๊อก’ เพี้ยนเสียงมาจากสมญานามอันน่าข นลุกว่า “เหมืองผีหลอก” สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ปราบปรา มกรรมกรชาวพม่า ภายหลังจากที่กรมโลหะกิจ องค์การเหมืองแร่ ของรัฐบาลไทย ได้ประกาศจัดตั้งเหมืองแร่แห่งแ รกขึ้นที่บริเวณบ้านอีต่อง (ประมาณ พ.ศ. 2483) เนื่องด้วยขณะนั้น ทางการไทยไม่ยินยอมให้กรรมกรชาว พม่าแอบเข้ามาลักลอบขุดสารแร่ต่ างๆ ซึ่งพบมากมายในพื้นที่ เอาไปขายให้กับฝ่ายอังกฤษ อันเป็นผลให้ภายหลังการปราบปราม มียอดผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก กิตติศัพท์ของความเป็นเหมืองผีห ลอกจึงถูกเล่าขานสืบเนื่องติดต่ อกันมา กอปรกับการออกเสียงเรียกที่ผิดเ พี้ยนไปของแรงงานชาวพม่า จนกลายมาเป็นชื่อ ‘เหมืองปิล๊อก’ ดังเช่นทุกวันนี้
ในยุครุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมเหม ืองแร่ ภายหลังองค์การเหมืองแร่ได้เปิด ให้สัมปทานบัตรแก่เอกชนทั่วไป ว่ากันว่าธุรกิจเหมืองแร่ในปิล๊ อก
ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทั้งเล็กใหญ่ไม่ต่ำกว่า 50-60 เหมือง
ไม่นับรวมกับเหมืองเถื่อน เหมืองลอยประเภทที่ชาวบ้าน กรรมกร
ลักลอบขุดนำไปขายกันเอง จึงไม่แปลกที่ยุคสมัยนั้น
ปิล๊อกได้พัฒนาตัวเองจนแทบกลายเ ป็นลาสเวกัสเมืองไทย ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าที่นี่คื อแหล่งขุดทองของนักแสวงโชคทั่วท ุกสารทิศ
“ใคร ใคร่ทำเหมือง-ทำ.. ทำค้าขาย-ทำ.. ทำโรงหนัง-ทำ.. ทำบ่อน-ทำ.. ทำซ่อง-ทำ” หนึ่งในคาวบอยนักแสวงโชคยุครุ่ง เรืองแห่งเหมืองปิล๊อกคนหนึ่งกล ่าว
และหากใครยังจินตนาการไปไม่ถึงว ่าสวรรค์กลางบ้านป่าในช่วงจังหว ะที่เจริญสุด ขีดนั้นจะเจริญแค่ไหน ลองหลับตานึกดูว่า.. ครั้งหนึ่ง กลางดงดิบแห่งนี้ เคยมีรันเวย์ไว้คอยท่าเครื่องบิ นเล็กให้ร่อนขึ้นวิ่งลง นั่น.. ขนาดนั้นเลยเชียว!
หากแต่ความแน่นอนล้วนแล้วเป็นสิ ่ง ‘อนิจจัง’ เมื่อปิล๊อกพาตัวเองทะยานถึงขีด สุดของยุคเหมืองแร่ ไม่นานนัก.. อุตสาหกรรมที่เคยแข็งแกร่งที่สุ ดชนิดหนึ่งของโลกก็ร่วงผลอยลงอย ่างไม่เป็น ท่า ภายหลังวิกฤตราคาแร่ตกต่ำอย่างร ุนแรง ตามซ้ำมาด้วยการล่มสลายของ ‘สภาเหมืองแร่โลก’ ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2527 แม้เหมืองปิล๊อกจะตั้งอยู่ไกลแส นไกลจากสำนักงานสภาเหมืองแร่โลก ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่ก็หาได้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ใ นครั้งนั้นด้วยเช่นกัน
เกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ปิล๊อกซุกซ่อนตัวเองอยู่กลางขุน เขาอย่างเงียบเชียบในฐานะตำบลเล ็กๆ แห่งหนึ่งของอำเภอทองผาภูมิ พื้นที่ส่วนหนึ่งประชิดกับเขตคว ามมั่นคงตามแนวชายแดน ในขณะที่อีกส่วนอิงแอบอยู่กับเข ตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ พื้นที่อนุรักษ์สำคัญแห่งหนึ่งข องภูมิภาคเอเชียผืนเดียวกับ ‘กลุ่มป่าตะวันตก’ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ดูเหมือนชื่อของเหมืองปิล๊อกถูก หยิบยกกลับมาเล่าขานในอดีตอันยิ ่งใหญ่หนาหู ขึ้นอีกครั้ง ทว่า ครั้งนี้หาใช่เป็นเสียงจากพวกร่ อนแร่หรือนักขุดทอง ปิล๊อกในบริบทใหม่กำลังถูกกลุ่ม นักนิยมธรรมชาติ นักท่องเที่ยว รวมไปถึงนักผจญภัย กล่าวขวัญถึงแง่ง่ามความมหัศจรร ย์ของสถานที่ ความสุขสงบในวิถีผู้คน และธรรมชาติอันแสนงดงาม
เหมืองสมศักดิ์ - บ้านอีต่อง - เนินช้างศึก - น้ำตกจ๊อกกระดิ่น
“อัญมณีแห่งสายแร่เม็ดใหม่ของปิ ล็อก”
แม้อดีตปิล๊อกจะดาษดื่นไปด้วยขุ มเหมืองจำนวนนับสิบนับร้อย แต่คงไม่ผิดนักหากวันนี้ทั้งผู้ มาเยือนและชาวชนแห่งปิล๊อกจะยกใ ห้เหมืองสม ศักดิ์เป็นสัญลักษณ์แห่ง ‘ชาวเหมือง’ ตำนานคนผู้เคยรุ่งเรืองในอดีต และเหมืองสมศักดิ์ในวันนี้จะมีล มหายใจอยู่ไม่ได้ หากขาดไร้ไปด้วยหัวใจรักอันยิ่ง ใหญ่ของเธอผู้ชื่อ เกลนนิส เจอร์เมน ไวท์ เสตะพันธ์ หรือ ‘ป้าเกลน’ (ป้าแหม่ม) ภรรยาชาวออสเตรเลียของ ‘สมศักดิ์ เสตะพันธ์’ ผู้บุกเบิกขุมเหมืองอันยิ่งใหญ ่แห่งนี้
แม้ความตายจะพรา ก ทั้งสองจากกัน แต่นั่นก็มิอาจขีดกั้นความรักแล ะความผูกพันที่คนทั้งสองเคยมอบแ ก่กันให้ สะดุดหยุดอยู่ลงเพียงแค่นั้น ภายหลังธุรกิจเหมืองแร่ของสมศัก ดิ์จำต้องปิดตัวลงเพราะพิษวิกฤต ราคาสินแร่ ชายผู้เป็นเจ้าของเหมืองก็ทรุดป ่วยและจากเธอไปก่อนวัยอันควร แม้ช่วงเวลาอันแสนเศร้านี้จะล่ว งเลยมากว่า 20 ปีแล้ว หากแต่ป้าเกลน หญิงสาวผู้เป็นที่รักของชาวเหมื องก็ยังคงเลือกที่จะยังดำเนินชี วิตอยู่ต่อไป พร้อมทั้งทำทุกวิถีทางเพื่อจะรั กษาเหมืองอันเป็นที่รักของสามีใ ห้ดำรงอยู่ เช่นอดีต แม้จะมิใช่ในภารกิจเดิม ผู้คนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่า.. อะไรคือแรงขับอันยิ่งใหญ่ที่ทำใ ห้หญิงชราจากดินแดนอันแสนไกลวัย ล่วง 70 ปีผู้นี้ ยืนหยัดถนอมสิ่งที่เธอรักนี้ไว้ ได้โดยลำพัง
“ความรัก คือสิ่งเดียวในชีวิตที่ไม่มีวัน ซื้อหาด้วยเงินได้ การได้รักเขา มันคือรางวัลที่มีค่าตลอดชีวิตข องเรา ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า รู้สึกเหมือนเราได้รับของขวัญมี ค่าในทุก ๆ วัน” บางซอกประโยคจากหัวใจของป้าเกลน
เมื่อครั้งบันทึกรายการคนค้นฅน ตอน ‘อยู่เพื่อรัก’ (ออกอากาศ 7 กุมภาพันธ์
2549) ทุกวันนี้ บ้านป้าเกลน-เหมืองสมศักดิ์
ได้ผันตัวกลายเป็นจุดหมายของนัก เดินทาง หลายคนมุ่งมั่นฝ่าการเดินทางอัน แสนลำบากเพียงเพื่อมาสำผัสเรือน ไม้หลังเก่า ตามตำนานเหมือง ที่ซึ่งบางส่วนได้ถูกพัฒนาให้เป ็นที่พักเงียบง่ายในท่ามกลางอ้อ มกอดของขุน เขา ขณะที่ผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ปรารถนาจะลิ้มชิมฝีมือการอบขนมเ ค้กสูตรเฉพาะอันเลื่องลือของป้า เกลนแม้เพียง สักครั้ง หากคุณเป็นนักท่องเที่ยวประเภทท ี่นิยมการแสวงหา ‘บางสิ่งบางอย่าง’ เพื่อเติมเต็มให้กับชีวิต เมื่อมีโอกาสมาเยือนปิล๊อก ก็คงไม่มีเหตุผลใดที่คุณจะทำให้ ตัวเองพลาดในการเดินทางมาสัมผัส บ้านเหมือง กลางป่าของป้าเกลนแห่งนี้ดูสักค รั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ที่ทางทีมงานไปไ ม่เจอป้าเกลน เพราะเป็นวันที่ป้าเกลนออกไปจ่า ยตลาดพอดี เลยได้พูดคุยกับคุณชาลี ผู้จัดการของที่นี่แทน คุณชาลีได้เล่าถึงเหตุการณ์ตั้ง แต่สมัยอดีตที่เคยเป็นคนใกล้ชิด กับคุณสม ศักดิ์ดูแลลูกน้องในเหมือง 500-600 คน ย้อนวันวานให้เราได้นึกภาพตามอย ่างออกรส วันนี้เราแวะมาทานอาหารกลางวันท ี่เหมือง
สมศักดิ์ โดยเสียค่าใช้จ่ายคนละ 200 บาท มีข้าวผัดและเกาเหลาลูกชิ้นหมู
ซึ่งเราสามารถเติมได้เรื่อยๆ หากไม่อิ่ม โดยมีเค้กแสนอร่อยรสส้ม รสแครอท
รสช็อคโกแลต รสผสมไม้รวมและรสกล้วยน้ำว้า ให้เราได้เลือกกินแบบไม่จำกัดอี กด้วย หนทางเข้าไปที่เหมืองค่อนข้างสา หัส
ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น มีบริการที่พักแบบเรียบง่าย เป็นกันเอง
ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศดี สามารถติดต่อซื้อแพ็คเกจที่พักไ ด้ที่ คุณชาลี โทร.08-1325-9471, 08-7019-1708 (หากไม่มีสัญญาณให้ฝากข้อความไว ้) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการม าพักควรโทรเข้ามาสอบถามก่อน เพราะช่วงนี้อากาศดีที่พักอาจเต ็มได้
หากว่าเหมืองสมศักดิ์เป็นตัวแทน ของการมีตัวตนอยู่ในยุคอุตสาหกร รมเหมืองแห่ง ปิล๊อก ก็ย่อมหมายเอาได้ว่าหมู่บ้านเล็ กๆ ประชิดแนวชายแดนที่ชื่อ ‘อีต่อง’ แห่งนี้ คือประจักษ์พยานชิ้นสำคัญอันสำแ ดงได้ถึงความรุ่งโรจน์ผ่านยุคผ่ านสมัยเดียวกัน
ปัจจุบัน อีต่องถือเป็น 1 ใน 4 หมู่บ้าน ขึ้นตรงกับตำบลปิล๊อก ชุมชนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางหุบ เขา สูงกว่าระดับน้ำทะเลสักในราว 800 เมตร ทอดตัวไกลออกมาจากอำเภอทองผาภูม ิประมาณ 75 กิโลเมตร
นัยว่าชื่ออีต่อ งนั้น น่าจะเป็นคำที่เรียกเพี้ยนมาจาก คำว่า ‘ณัตเอ็งต่อง’ ในภาษาพม่า อันหมายถึง “หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนภูเขาเทว ดา” ในยุครุ่งเรือง บ้านอีต่องถือได้ว่าเป็นศูนย์รว มความเจริญทางด้านวัตถุอย่างเต็ มกระเบียด
คนเหมืองรุ่นเก่าๆ บางคนว่า.. “ที่นี่มีทุกอย่าง เท่าที่เงินจะซื้อหามาได้
อาหาร เสื้อผ้า เหล้า ยารักษาโรค โรงหนัง ไม่เว้นแม้กระทั่งซ่องหรือบ่อน! ?!”
ทว่า ทุกวันนี้ บรรยากาศร้านรวงที่กล่าวถึงได้ก ลายเป็นอดีตไปหมดสิ้นแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงลมหายใจอันสุข สงบของคนงานเหมืองล่วงวัยชราที่ ผันไปยึด อาชีพรับจ้างปลูกป่าบ้าง เป็นลูกหาบนำทางขึ้นเขาช้างเผือ กบ้าง ทำงานในอุทยานฯ ในโรงงานแยกก๊าซท้ายหมู่บ้านบ้า ง ร่อยรอยความเจริญทางวัตถุที่นัก ท่องเที่ยวพอจะสืบหาเอาเป็นกลิ่ นอายแห่งอดีต ให้พอชุ่มชื่นใจได้บ้าง คือ อาคารบ้านเรือนเก่าในตัวตลาดอีต ่อง โรงหนังเก่า (ปัจจุบันถูกดัดแปลงสภาพเป็นร้า นค้าไปแล้ว) สะพานเหมือง และหัวฉีดแร่เก่าบริเวณด้านหน้า หมู่บ้าน
นอกจากนี้ บริเวณรอบหมู่บ้านยังมีสถานที่ท ่องเที่ยวน่าสนใจอีก คือ ‘พระธาตุ วัดเหมืองปิล๊อก’ ที่มีกลุ่มพระธาตุเจดีย์สีทองอ ร่ามประดิษฐานเด่นเป็นสง่าอยู่บ นเนินเขา สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้ เกือบ 360 องศา อาทิ เนินช้างศึก เนินเสาธง เขาช้างเผือก และตัวตลาดอีต่อง
‘เนินเสาธง’ และ ‘จุดประสานสัมพันธ์ไมตรีฯ ไทย-เมียนมาร์’ อันเป็นจุดที่ทางการไทยและพม่าไ ด้ปักธงชาติของทั้งสองประเทศร่ว มกันไว้ ณ จุดเดียว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ ์อันดีต่อกัน
บ้านอีต่องยังมีก ิจกรรมน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ ยวประเภทนักชิมให้ลิ้มลอง เมนูเด็ดของที่นี่ ซึ่งน่าจะสร้างความประหลาดใจให้ กับหลายหลายคนได้เลยทีเดียว นั่นก็คือรายการ “กินปู ดูทะเลหมอก” โดยปูที่ว่านี้เป็น ปูทะเลเป็นๆ สดๆ ที่นำมาจากชายทะเลฝั่งอันดามันข องประเทศพม่า ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 60 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น (ผ่านการขนส่งมาจากหลายเส้นทาง) ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวอาจต้องสอบถามกับท างร้านอาหารในตลาดอีต่องล่วงหน้ าเสียก่อนว่า วันนั้นมีปูหรือกุ้งทะเลจำหน่าย หรือเปล่า หากโชคดีได้ของทะเลสดๆ ไปปิ้งย่างรับประทานคลายหนาวไปพ ลาง.. ชมทะเลหมอกไปพลาง.. ก็นับว่าสุขสราญใจไม่รู้ลืม
‘เนินช้างศึก’ หรือ ‘ฐานช้างศึก’ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,053 เมตร ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ความรับผิด ชอบของตำรวจตระเวนชายแดน ร้อย ตชด.135 ทำหน้าที่ดูแลความมั่นคงตามแนวต ะเข็บชายแดนบริเวณดังกล่าว แต่เนื่องด้วยปัจจุบันสถานการณ์ มีความสงบมากขึ้น ทางเจ้าหน้าที่จึงเปิดโอกาสให้น ักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชม และพักกาง เต็นท์ได้ในบริเวณที่จัดไว้ให้ โดยต้องเตรียมอาหารและน้ำดื่มไป เอง จุดชมวิวเนินช้างศึก หรือที่ชาวปิล๊อกคุ้นปากกว่าในช ื่อ ‘ยอดดอยปิล๊อก’ และบ้างเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า ‘ต่องปะแล’ แห่งนี้นั้น ถือเป็นจุดชมดวงอาทิตย์ตกที่สวย ที่สุดของอำเภอทองผาภูมิและจังห วัดกาญจนบุรี เลยก็ว่าได้ เนื่องจากในวันที่ท้องฟ้าเปิดอา กาศแจ่มใส นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทิวท ัศน์ไปได้ไกลถึงชายทะเลอันดามัน ฝั่งอ่าวเมาะตะมะของประเทศพม่า ดวงอาทิตย์จะค่อยๆ ลับไปตามเหลี่ยมเขาที่ซ้อนตัวเป ็นระลอกคลื่นอย่างสวยงามน่าประท ับใจ และในยามเช้าดวงอาทิตย์ของวันให ม่ก็จะค่อยๆ โผล่พ้นแนวผาด้านฝั่งเขาช้างเผื อกซึ่งก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน
คำแนะ นำสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องกา รเดินทางมายังจุดชมวิวเนินช้างศ ึก คือ ควรให้ความเคารพต่อสถานที่เนื่อ งจากเป็นพื้นที่ความมั่นคง ตลอดจนเชื่อฟังคำแนะนำเพื่อความ ปลอดภัยต่อตัวเองและผู้อื่น พร้อมทั้งพยายามช่วยกันรักษาควา มสะอาดพื้นที่ที่ใช้ รวมไปถึงห้องน้ำของฐานฯ เพื่อลดภาระแก่บรรดาเจ้าหน้าที่ ตชด. ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่ในการอำนวยค วามสะดวกทางด้านการท่องเที่ยวโด ยตรง
น้ำตกจ๊อกกระดิ่น อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทอ งผาภูมิ ตัวน้ำตกมีจำนวน 2 ชั้น คือ
จ๊อกกระดิ่น-ล่าง อยู่ในพื้นที่ป่าสมบูรณ์ การเดินทางสมบุกสมบัน ต้องติดต่อ จนท.อุทยานฯ ล่วงหน้า เพื่อนำทาง
จ๊อกกระดิ่น-บน นักท่องเที่ยวสามารถขับรถ (4WD) ลงเขาไปจอดที่ลานจอดรถของอุทยาน ฯ ได้เลย (ยกเว้นช่วงฤดูฝน ต้องสอบถาม จนท. เพื่อความปลอดภัย) จากนั้นเดินเลาะไปตามเส้นทางปูน อีกประมาณ 200 เมตร น้ำตกจ๊อกกระดิ่น-บน ถือเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามแห่ งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี ตัวน้ำตกทิ้งสายลงมาจากความสูงก ว่า 50 เมตร มีน้ำไหลให้ชมตลอดทั้งปี จุดเด่นของน้ำตกแห่งนี้คือ แอ่งน้ำเบื้องล่างมีสีเขียวใสดั ่งมรกต สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือน เป็นอย่างยิ่ง
เล่ากันว่า.. ‘ปิล๊อก’ เพี้ยนเสียงมาจากสมญานามอันน่าข
ในยุครุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมเหม
“ใคร ใคร่ทำเหมือง-ทำ.. ทำค้าขาย-ทำ.. ทำโรงหนัง-ทำ.. ทำบ่อน-ทำ.. ทำซ่อง-ทำ” หนึ่งในคาวบอยนักแสวงโชคยุครุ่ง
และหากใครยังจินตนาการไปไม่ถึงว
หากแต่ความแน่นอนล้วนแล้วเป็นสิ
เกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ปิล๊อกซุกซ่อนตัวเองอยู่กลางขุน
เหมืองสมศักดิ์ - บ้านอีต่อง - เนินช้างศึก - น้ำตกจ๊อกกระดิ่น
“อัญมณีแห่งสายแร่เม็ดใหม่ของปิ
แม้อดีตปิล๊อกจะดาษดื่นไปด้วยขุ
แม้ความตายจะพรา
“ความรัก คือสิ่งเดียวในชีวิตที่ไม่มีวัน
หากว่าเหมืองสมศักดิ์เป็นตัวแทน
ปัจจุบัน อีต่องถือเป็น 1 ใน 4 หมู่บ้าน ขึ้นตรงกับตำบลปิล๊อก ชุมชนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางหุบ
นัยว่าชื่ออีต่อ งนั้น น่าจะเป็นคำที่เรียกเพี้ยนมาจาก
ทว่า ทุกวันนี้ บรรยากาศร้านรวงที่กล่าวถึงได้ก
นอกจากนี้ บริเวณรอบหมู่บ้านยังมีสถานที่ท
‘เนินเสาธง’ และ ‘จุดประสานสัมพันธ์ไมตรีฯ ไทย-เมียนมาร์’ อันเป็นจุดที่ทางการไทยและพม่าไ
บ้านอีต่องยังมีก
‘เนินช้างศึก’ หรือ ‘ฐานช้างศึก’ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,053 เมตร ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ความรับผิด
คำแนะ นำสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องกา
น้ำตกจ๊อกกระดิ่น อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทอ
จ๊อกกระดิ่น-ล่าง อยู่ในพื้นที่ป่าสมบูรณ์ การเดินทางสมบุกสมบัน ต้องติดต่อ จนท.อุทยานฯ ล่วงหน้า เพื่อนำทาง
จ๊อกกระดิ่น-บน นักท่องเที่ยวสามารถขับรถ (4WD) ลงเขาไปจอดที่ลานจอดรถของอุทยาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น