12/15/2559

บุหรี่

การเดินทางที่ยาวนาน ถ้าเป็นทางบกก็คงแวะพักตามปั๊มน้ำมันได้ แต่การเดินทางเครื่องบินต้องไปตามกำหนดและเวลาที่เดินทางโดยเครื่องบิน ทางสายการบินต่างๆก็ไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่แต่ วี ไอ พี ผมไม่ทราบเพราะชีวิตนี้ยังไม่เคยเป็น วี ไอ พี แต่ถ้า วี ไอ้ ผี พอได้...
...จึงไม่แปลกใจทำไมเวลาลงเครื่องที่สนามบิน กัปตัน ลูกเรือ หรือผู้โดยสาร
จึงหมายมุ่งหา  สโมคกิ้งโซน(smoking zone)เพราะว่า มันจะขาดใจแลัว...เด๋วมาเขียนต่อ...

12/02/2559

เชียงใหม่


จะอู้จะอี้จะอั้น อ้ายแอ่วเหนือทีไร ถูกอ๊กถู๊กใจ๋ม่วนหลาย ฮักจาวเจียงใหม่ ฮักอาหารพื้นเมือง และฮักทุกสิ่งที่เป็นเจียงใหม่ อ้ายอู้กำเมืองบ่ค่อยถนัด ขอปรับโหมดเป็นภาษากลางก่อนจะถูกคนท้องถิ่นด่าว่า
“จั๊ดง่าว”
ฉันมาไกล มาไกลเหลือเกิน (นั่งเครื่องบินประมาณชั่วโมงกว่าๆ ถือว่าไกลมั๊ย?) มาคราวนี้ตั้งใจมาสูดอากาศสดชื่นเต็มที่ แต่หมอกจางๆและควันคล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้ ตื่นเช้ามาพระอาทิตย์ก็ถูกบดบัง ฟ้าก็ยังไร้เมฆ มีแต่กลุ่มควันลอยละล่องทั่วบ้านทั่วเมือง ดูผิวเผินพอจะสวยแทนหมอกแต่พอสูดเข้าไปลึกๆ กลิ่นเริ่มไม่พิศมัย บางคนถึงขนาดต้องเอาหน้ากากปิดจมูกปิดปาก ราวกับว่าจะกลัวคนอื่นติดหวัด วัฒนธรรมการเผาป่าเริ่มดูจริงจังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนเราคิดว่ามันคงเป็นไฟป่าหน้าแล้ง แต่นี่เห็นเผากันอยู่ริมทางเลย ดูแล้วน่าหดหู่เสียเหลือเกิน
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียอารมณ์ อ้ายจะพยายามสรรหาสถานที่เหมาะๆ พาเพื่อนๆ แวะชมความงามเท่าที่พอเหลืออยู่ในยามนี้ ช่วงเดือนมีนาคม เป็นเดือนที่อากาศอบอุ่นจนถึงร้อนมากในบางพื้นที่ จะมีบ้างก็ตามหุบเขาหรือบนยอดดอยที่ยังพอรู้สึกหนาวจนอยากจะกอดใครบางคน จะอู้จะอี้จะอั้นไปแล้ว อ้ายได้คัดเลือก 4 สถานที่สำคัญในการชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวกัน แน่นอนคงไม่ใช่ตลาดไนท์บาร์ซ่า ไม่ใช่ถนนคนเดินที่วัวลาย หรือถนนนิมมานเหมินทร์แหล่งรวมของฮิปประจำเชียงใหม่ ที่ใครๆ ก็ไปกัน วันนี้อ้ายพามาแอ่ว แม่กำปอง ไร่นภ-ภูผา ม่อนแจ่ม และแม่ริมกัน พร้อมแล้วขึ้นรถมาด้วยกันเลยครับ
สวยไม่แต่งแบบแม่กำปอง
ขึ้นมาหลายดอยแต่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ จนกระทั่งเฮียตั่วเจ้าของพื้นที่ได้เคยชักชวนไว้ตอนพบกันคราวก่อนที่ รร.เซ็นทารา ดวงตะวัน “เฮียมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่แม่กำปอง ถ้าเฮียไช้สนใจขึ้นมาได้เลย ที่นี่ยังสวยดิบและมีสเน่ห์มากต้องลองไปดู” จากคำเชื้อเชิญคราวนั้น เลยทำให้ผมตั้งใจไว้ว่าลงจากแม่แจ่มเมื่อไหร่ จะแวะไปเยือนที่นี่ให้ได้และแล้ววันนั้นก็มาถึง
"เรื่องเล่าให้ฟัง"
บ้านบนดอย บ่มีแสงสี บ่มีทีวี บ่มีน้ำประปา บ่มีโฮงหนัง โฮงนวด คลับบาร์ บ่มีโคล่า แฟนต้า เป็บซี่
หลาย 10 ปีผ่านไป บนดอยถิ่นห่างไกลความเจริญแม้จะยังคงไม่มีคลับบาร์ (เพราะไม่รู้ใครจะขึ้นไปใช้บริการกันไกลขนาดนั้น) แต่สิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างก็เริ่มเข้ามาถึง บางชุมชนมีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ บางแห่งก็ปั่นไฟจากพลังน้ำหรือ โซล่าเซลล์แทน โรงหนังก็ไม่มีแต่ที่พอมีคือทีวีจานดาวเทียมที่พอให้คนทั้งชุมชนมานั่งมุงดูกันอบอุ่นดี ถึงไม่มีโรงนวดแต่เราก็พอจะหาหมอนวดแผนไทยฝีมือดีในหมู่บ้านพอได้บ้าง แต่ก่อนมีโคล่าก็ว่าหรูแล้วเดี๋ยวนี้มีน้ำสารพัดสีรวมถึงน้ำชาเขียวก็ส่งขึ้นมาถึงบนดอยแล้วครับ คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเริ่มมีใช้ในบางพื้นที่ แม้คลื่นสัญญาณมือถืออาจจะดับเป็นหย่อมๆ แต่ถ้าลงจากดอยเข้าไปในเมืองซักหน่อยรับรองว่าชัดแจ๋วแว๋ว
ชุมชนการเรียนรู้สมเด็จย่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ในขณะที่ผู้คนต่างยินดีต้อนรับความเจริญเข้าสู่ชุมชน เรากลับรู้สึกเสียดายที่ความเจริญนั้นมันไม่ได้หยุดแค่ตรงสาธาณูปโภคพื้นฐานที่ทำให้คุณภาพชีวิตคนบนดอยดีขึ้นเท่านั้น หากแต่เป็นการนำค่านิยมผิดๆ ติดขึ้นมาพร้อมกัน จากวิถีชีวิตชุมชนที่เน้นพึ่งพาอาศัยกันอย่างพอเพียง กลายเป็นวิถีของการแสวงหาสินทรัพย์เพื่อยกระดับฐานะการเป็นอยู่แบบคนเมือง ความสมดุลระหว่างวัตถุและธรรมชาตินิยมจึงเป็นกลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่มีวันจบ.....
แม่กำปองตั้งอยู่ ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 50 กิโลเมตร น้อยคนนักจะรู้จักที่นี่เพราะส่วนใหญ่จะขับขึ้นไปทางแม่ริม ดอยอินทนนท์แทน ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้มีความสมบูรณ์ในหลายๆ ด้าน อย่างแรกคือพื้นที่ยังเขียวชะอุ่มอยู่มาก อากาศดีและเย็นตลอดปีโดยเฉพาะในช่วงเช้าถึงขั้นหนาวเลยทีเดียว มีน้ำตกแม่กำปองไหลผ่านเป็นทางยาวมาถึงหลังบ้านด้วยซ้ำไป อย่างที่สองคือเป็นชุมชนที่รับความเจริญเข้ามาอย่างพอเพียง มีน้ำมีไฟใช้ มีเคเบิ้ลทีวีให้ดู แต่บ้านช่องต่างๆ ยังคงอนุรักษ์ให้เป็นบ้านไม้และสร้างตามแบบที่กลมกลืนกับวัฒนธรรมของชุมชน และอย่างที่สามคือผู้คนดูอบอุ่นและเป็นกันเองมาก เดินไปไหนมาไหนชาวบ้านจะทักทาย ถามไถ่ว่าเราพักที่ไหน ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้การต้อนรับจนเรารู้สึกเหมือนเป็นคนในพื้นที่ อย่างคุณป้าที่มานวดให้เราถึงในบ้าน พวกเราเจอแกอีกทีโดยบังเอิญตอนไปเที่ยวน้ำตก ในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการกวาดใบไม้หน้าอุทยาน แกเป็นฝ่ายทักพวกเราก่อนว่าจำป้าได้มั๊ย เราก็แอบงงว่าแกขึ้นมาทำอะไรถึงที่นี่ แกบอกว่ายามว่างแกก็ถือโอกาสมาช่วยงานที่นี่ถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วย น่านับถือน้ำใจคนแม่กำปองทีเดียวที่แม่กำปองนอกจากจะมีโฮมสเตย์น่ารักๆราคาย่อมเยาอยู่หลายแห่งแล้ว วัดเก่าที่มีน้ำตกไหลผ่านอยู่ด้านหลัง ร้านกาแฟที่กลายเป็นจุดชมวิวที่งดงาม (อ่านร้านชมนกชมไม้ที่เคยเขียนไว้ในจากยอดดอยสู่ผืนดิน) สำหรับคนที่ชอบผจญภัย สามารถลองโหนสลิงไปกับ Flight of the Gibbon แต่ราคาอาจจะแพงไปนิดนึงสำหรับคนไทยเพราะว่าหลายพันอยู่

9/23/2559

คนเดินทาง

ทางเราไม่เท่ากัน อาจเช่นนั้นที่ฉันเชื่อ
คลับคล้ายความคลุมเครือ ระหว่างเราผู้ใช้ทาง
สูงชันและรกชัฏ แคบอึดอัดอย่างเธออ้าง
โดดเดี่ยวอีกอ้างว้าง ไร้ที่ว่างจะวางใจ
ทางเดียวที่เราเดิน ร่วมดำเนินมานานไกล
แตกต่างเพียงทางใจ ฉีกให้เราไม่มองทาง
เขียวชื่นระรื่นเย็น ให้เธอเห็นว่าโลกกว้าง
ห่มเราทอดเงาบาง แม้ไม่เห็นหากคงทน                               
   
                                             ...ถนนคนเดินทาง...

เขมร.......กะเมง ขแมรร์ โม โนว ชงาย เซราะ..

จูงกะ..แมร์ อ๊อว บ็อง ประโอน ปู ไป แย็ย ตา..กรบ ๆ คเนียร์ บาด..
ขะมาด โกน ขะแมรร์ โนว อัมเพอ ท่าตูม จังหวัด เสร็น นี๊ เฮย..
ปี เดอม..ขะมาด เก๊อะ โนว เซราะ โนว ซแรร์ เฮย..
เก๊อะ ปรั๊วะ ตา กันซ็อด จ็อง เมียน ประ เมียน เมี๊ยะ..
เก๊อะ เลย โตว เทอร์ การ โนว มืง นอก มืง นา..
รัว ประ รัว เมื๊ยะ..ตูก เลิก ประเตี๊ยะ เลิก ซแม็ง...
งัย แนะ..กึด ด็อล เซราะ คลัง..อัน กูยร์ ยม โนว กะน็อง ฮอง ตา แอ็ง..
ซะเน๊าะ คลูน เตอ...
กึด ด็อล..ตแร็ย ปรัย โกน จัง วา ทแม็ย..
กึด ด๊อล..ประ เฮาะ ตแร็ย กรัยจ์..
กึด ด๊อล อัง ตแร็ย ปะตั๊วะ..
กึด ด๊อล ซะลอว์ ตแร็ย แนง ด๊ะ มะ ออม..
กึด ด๊อด ทอด ตแร็ย ซโลยจ์..
อา โยย กึด เซราะ คลัง...

ดินสอ กับ ยางลบ

มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง
ฟังดูอาจตลกทุกคนอาจคิดว่าดินสอกับยางลบเป็นของคู่กันแต่ลองอ่านดูก่อนนะครับ
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น
ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน
หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน
มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา
เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา
จนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว ยางลบจึงถามว่าทำไมล่ะ
ดินสอจึงตอบกลับไปว่า ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย ยางลบจึงเถียงว่า
เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด
ทั้งคู่จึงแยกทางกัน
ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน
แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรกมีแต่
รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด
มันคิดถึงยางลบจับใจ
ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป
พอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ
มันคิดถึงดินสอจับใจ ทั้งคู่จึง
กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งที่ดี
ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิด
เท่านั้น 
ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอ ในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
แต่พอเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้น ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม
ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี
แต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องไม่ดีตัวมันก็จะสกปรกแต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี
หรือคือการให้อภัยนั่นเอง ฉะนั้นการเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ คือ
การจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง 
ขอให้ทุกคนเป็นอย่างดินสอกับอย่างลบตอนหลังนะ

ชีวตที่เดินทาง....

ตะเกียง ...ชีวิต...เดินทาง

ฉันอาจเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่ง ที่มีแสงเพียงน้อยนิด

อาจจะไม่จำเป็นเลยในบางช่วงบางขณะ ที่พระจันทร์ทอแสงนวลกระจ่าง
เธออาจจะทิ้งฉันไว้ข้างทางก้อเป็นได้
หากเธอคิดว่าฉันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย

ฉันจึงเปรียบตะเกียง เป็นดั่ง ตัวฉัน...
ส่วนเธอน่ะ เป็น นักเดินทางคนนึง...
ส่วนเค้าคนนั้น เป็น พระจันทร์....

นักเดินทางคนหนึ่งกับตะเกียงดวงเก่า
ตะเกียงที่ให้แสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด
ตะเกียงที่ให้ความอบอุ่นได้ เมื่อนักเดินทางผู้นั้นต้องการ
ในค่ำคืนที่สายลมหนาวได้ผ่านพัดมาอีกครา
การเดินทางของนักเดินทางผู้นั้นก้อมี ตะเกียงเป็นเพื่อนคู่ชีพ

แสงเพียงน้อยนิดที่พอจะส่องทางได้เป็นระยะๆ
ทำให้นักเดินทางผู้นั้นเริ่มไม่พอใจในสิ่งที่ เค้ามีอยู่

เมื่อเค้ามีเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมทางก็ได้กล่าวว่า
"จะใช้ตะเกียงดวงเก่านี้ไปทำไม ในเมื่อแสงจากพระจันทร์ออกจะสว่างถึงเพียงนี้"

นักเดินทางผู้นั้นคิดได้จึงทิ้งตะเกียงผู้น่าสงสารไว้ข้างทาง
หลงเชื่อคำกล่าวของเพื่อนร่วมทาง
ซึ่งเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาแล้วก้อผ่านไป
ค่ำคืนนั้น เป็นคำคืนที่ยาวนานสำหรับฉัน...

...ตะเกียงผู้ถูกทอดทิ้งไว้ข้างทาง

ก้อเค้าไม่สนใจแม้แต่น้อย
กลับกัน เธอนักเดินทางที่กำลังหลงระเริง
กับแสงจากพระจันทร์
ที่ส่องแสงนวลกระจ่าง มันสวยงาม มันชวนฝัน
นักเดินทางผู้นั้นจึงเดินทางไปเรื่อยๆ เพียงลำพัง
แค่สัมภาระ ไร้ตะเกียงดวงเก่า!
เมื่อความมืดมิดแห่งค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป
แสงจันทร์ที่เคยกระจ่างยามค่ำคืนก้อเลือนหาย

ดวงตะวันได้โผล่ขึ้นมารับอรุณบอกกับทุกคนที่อยู่ใต้ผืนฟ้าว่านี่คือ
เช้าวันใหม่ ..............
สายลมหนาว --ผ่านพัดมาเยือนอีกครา
----------ผ่านพัด---เป็นลมหนาวที่เย็นยะเยือก
ตะเกียงดวงเก่าที่ถูกทอดทิ้ง
บัดนี้ นักเดินทางอีกคนได้ผ่านมาพบจึงเก็บไว้เป็นสมบัติตน
ตะเกียงจึงกลับกลายเป็น ของมีค่าอีกครั้ง
มันได้ทำหน้าที่เช่นเดิม คือ ให้แสงสว่างและ
ความอบอุ่นไปพร้อมๆ กัน


เมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้วลำแสงสุดท้ายของวันเป็นสีส้มเป็นแสงสว่างสุดท้ายของวันนี้

ค่ำคืนได้ย่างกรายเข้ามา สายลมหนาวก้อเริ่มพัดแรงขึ้นๆ
ดวงจันทร์ที่เคยทอแสงกระจ่างกลับถูกหมอกเมฆบดบังจนสิ้น!
ราวกับจะกลั่นแกล้งนักเดินทาง
คนเก่าที่เคยเป็นเจ้าของตะเกียง
เค้าผู้นั้นไม่มีแม้แต่แสงไฟที่จะใช้ส่องทางและเช่นกัน
เค้าไม่มีแม้กระทั่งความอบอุ่น
นักเดินทางหนาวสั่นจะเดินต่อก็กลัว หลงทาง

เค้าจึงย้อนกลับไปเอาตะเกียงดวงเก่าที่ได้ทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน

... ลมหนาวได้ผ่านพัดมา ราวกับจะทรมานนักเดินทางผู้นั้น
จนกระทั่งมาถึงจุดที่เขา ได้ทิ้งตะเกียงไว้
บัดนี้ตะเกียงดวงเก่าได้ สาปสูญไปแล้ว
เค้านึกเสียดายจับใจ
แม้จะเรียกร้องเพียงใดก้อมิได้กลับคืน
จึงทำได้แต่เพียงนอนหนาว
รอให้เมฆหมอกที่บดบังดวงจันทร์นั้นได้ผ่านเลยไป
เวลาได้ผ่าน........
เมฆหมอกได้เลือนหายไปแล้ว
แสงจันทร์ได้กลับมาสดใสอีกครา
ทำให้นักเดินทาง ผู้เหน็บหนาวอุ่นใจขึ้น
แต่ดวงจันทร์ก้ออยู่ไกลเกินไป.......

ไกลเกินที่จะทำให้นักเดินทางผู้เหน็บหนาวได้รับความอบอุ่น------------

เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า

"เรามักจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราครอบครองนั้นดีเพียงไรมีคุณค่ากับเราเพียงใด
เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว"


เพราะฉะนั้นฉันจึงอยากให้ผู้ที่ใฝ่สูงทั้งหลายจงหันกลับมามองคนใกล้ตัว

การชะเง้อมันเมื่อยกว่าการก้ม จริงไหม?
  

ไกด์ชอบใช้ของฟรี

อาชีพมัคคุเทศก์อย่างเราต้องเดินทางตลอดเวลา อยู่ตรงโน้นบ้างอยู่ตรงนี้มั่งแล้วแต่ทัวร์ที่ได้รับ สิ่งจำเป็นในระหว่างทัวร์ก็เกี่ยวกับการท่องเที่ยว พอถึงเวลาตอนเสร็จทัวร์ในแต่ละวันแล้วก็อยากติดต่อคนโน้นคนนี้บ้างทางอินเตอร์เน็ต เลยต้องหาที่ลงแบบให้ฟรึๆก็เป็นพวกบริการไวไฟ (Wifi) คือมีโน๊ตบุ๊คแบบมีระบบไวไฟติดตั้งมาแล้วในเครื่อง ถ้ามีบริการให้ใช้สัญญานฟรีก็คือระบบไวไฟ
พอดีมีไอแพ็ดจีนแดงติดมาด้วย ไม่เก่งเหมือนไอแพ็ดซัมซุง แต่มันใช้งานตอบกระทู้เว็บไซด์ไกด์เซ็นเตอร์ได้ก็แล้วกัน จึงค้นพบที่ให้ใช้บริการเชื่อมอินเตอร์เน็ตระบบไวไฟฟรีหลายๆจุดที่พวกเราชาวไกด์ต้องไปพักอยู่
โรงแรมท็อปแลนด์จังหวัดพิษณุโลกให้ไวไฟฟรี แต่ต้องขอโค้ดล็อกอินที่เคาท์เตอร์เช็คอิน
โรงแรมอานันดาสุโขทัยใช้ในห้องพักได้เลย
โรงแรมรีเจนด้าสุโขทัยใช้ในห้องพักได้เลยแต่ไม่เกินสี่ทุ่มครึ่
โรงแรมปาร์คจังหวัดเชียงใหม่ใช้ได้เลย (แต่ยังไม่เคยใช้ มีเพื่อนแนะนำ)
โรงแรมทามารีน Tamarind เชียงใหม่ขอโค้ดได้หากลูกทัวร์พักที่นั่น
ฟาร์มกล้วยไม้สายน้ำผึ้งให้ฟรีๆเลย ไปใช้กันซะ
ร้านอาหารเมืองทองไปทางข้างซ้ายมือของโรงแรมเวียงอินทร์จังหวัดเชียงราย 
เท่าที่เคยส่งข้อความอีเมล์ฟรีทางไวไฟได้เท่าที่ทราบก็ตามที่บอก หากใครทราบที่อื่นที่ให้ใช้สัญญานไวไฟฟรีตามเส้นทางทัวร์ในที่อื่นๆของพวกเราชาวมัคคุเทศก์ ช่วยโพสต์ตอบรายละเอียดให้ด้วยครับว่าอยู่บริเวณใดอีก แต่อย่าบอกตรงบริเวณที่ต้องเสียเงินน้ะครับ เช่นที่โรงแรมเวียงละครลำปาง 50 บาท โรงแรมเชียงใหม่พลาซ่าต้องซื้อโค้ดล็อกอิน 200 บาท โรงแรมฮอลิเดย์อินเชียงใหม่ 150 บาท โรงแรมเวียงอินทร์เชียงราย 100 บาทเป็นต้น ไม่ต้องบอกพวกนี้ที่ต้องเสียเงินอ้ะ ไกด์เกลียดการเสียเงิน เพราะต้องจ่ายค่าเข้าโบราณสถาน ค่าอาหารกลางวันให้ลูกทัวร์อยู่แล้ว ดีไม่ดีเงินที่แอ็ดว๊านซ์มาจากอ็อฟฟิสเพืี่อจ่ายค่าต่างๆให้ลูกทัวร์ก็จะหมดอยู่แล้ว จะเอาไปกินเหล้าเมายากับโชเฟอร์ก็ไม่ได้ นี่แหละพวกมีอาชีพไกด์อย่างเราๆ แต่ยังดีเพราะมีพวกค่าทิปและค่าคอมฯโผล่มาช่วยชีวิตไว้ มาหัวเราะกันดีกว่า ฮ่าๆๆเอิ๊ก

ขอม คือไทย ไม่ใช่เขมร: ข้อคิดเห็นกรณีปราสาทนครวัด พระวิหาร และพิมาย



ปราชญ์ไทยหลายท่านได้ชวนกันสรุปแบบไม่มีเยื่อใยต่อชนชาติตนเองไปหลายครั้งแล้วว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของเขมร โดยอ้างว่าเขมรคือลูกหลานของขอมโบราณที่สร้างนครวัด ซึ่งชะรอยจะเป็นแนวคิดของนักวิชาการฝรั่ง(เศส)ที่มาสร้างกรอบให้นักวิชาการไทยเราติดกับเหมือนกับกรณีการอพยพจากเทือกเขาอัลไตนั่นเอง    บทความนี้จะแสดงเหตุผลให้เห็นว่าขอมน่าจะคือชนเผ่าไทยหรือวัฒนธรรมไทยโบราณที่เกิดอยู่ในดินแดนไทยมานานหลายพันปี และบัดนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ละลายเจือสมอยู่กับสายเลือดไทยเรานี่เอง ส่วนเขมรนั้นน่าจะเป็นชนอีกเผ่าหนึ่งที่เข้ามาภายหลังแต่เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลงและหนีร่นเข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศแม่มาแต่โบราณกาล    ซากปรักหักพังของอารยธรรมขอมโบราณมีกระจายอยู่ทั่วดินแดนไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในภาคอีสานมีตั้งแต่สกลนคร อุดรธานี (อีสานเหนือ) เลาะเรื่อยมาทาง ขอนแก่น นครราชสีมา ไปจนถึง บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบล จากนั้นก็ลามขึ้นเหนือ มี ลพบุรี ศรีเทพ (เพชรบูรณ์) ศรีสัชนาลัย (สุโขทัย) อุตรดิตถ์ หริภุญชัย (ลำพูน) เรียกได้ว่าแผ่นดินไทยทั้งหมดเป็นอายธรรมขอม ซึ่งกินพื้นที่ใหญ่กว่าแดนเขมรปัจจุบันตั้ง 4 เท่า จู่ๆ ขอมก็เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ อย่างไร้ร่องรอย    แต่ลองคิดดูสิครับ ชนเผ่าจำนวนมหาศาลที่ครองดินแดนใหญ่โตขนาดดังกล่าว และมีเทคโนโลยีและวัฒนธรรมอันสูงส่ง จู่ๆจะเลือนหายไปได้ง่ายๆหรือ หรือว่ามันก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละเพียงแต่เปลี่ยนการเรียกชื่อ หรือ “ถูกเรียกชื่อ” เสียใหม่ตามแต่นักประวัติศาสตร์(ฝรั่ง)อยากจะเรียกเท่านั้นเอง ซึ่งชักนำให้นักวิชาการไทยหลายคนพากันสรุปแบบเซื่องๆตามฝรั่งว่าขอมคือบรรพบุรุษของเขมร และยังยกย่องเขมรว่าในอดีตเข้มแข็งจนครอบครองดินแดนไทยไปถึงสุโขทัยโน่น และดังนั้นเขาพระวิหารจึงเป็นของ“เขมร”มานานแล้วอย่างไม่ต้องเสียแรงสงสัย    นิสัยเด่นของคนไทยและนักประวัติศาสตร์ไทยเรานั้นคือ อชาตินิยม กล่าวคือ ถ้ามีอะไรที่เราเหมือนต่างชาติ เป็นต้องสรุปว่าลอกมาจากต่างชาติเสมอ ยังไม่เคยเห็นนักประวัติศาสตร์ไทยสักคนเดียวที่กล้าสรุปว่าวัฒนธรรมต่างๆเป็นของไทยล้วนๆ โดยไม่ได้ลอกมาจากต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย พม่า เขมร (ขอม?) มอญ ลาว ญวน แม้แต่อินโด มาเลย์ ก็ไม่เว้น แม้ขนาด “ปลาบึก” ยังไม่สามารถเกิดในน่านน้ำไทยได้เลย ต้องสรุปว่าว่ายมาจากฝั่งลาวโน่น ส่วนปลาทู นั้น ก็มีนักวิชาการไทยบางคนสรุปว่า เป็นปลาของพม่าไปแล้ว เพียงเพราะว่าฝั่งพม่าก็เรียกว่าปลาทูเหมือนกัน!!!    เชื่อได้ว่าอาณาจักร ละโว้ ทวารวดี ศรีวิชัย ซึ่งก็เป็นเพียงชื่อที่เลือนๆลางๆขาดๆวิ่นๆ ในประวัติศาสตร์ ก็คงจะทับซ้อนกับอาณาจักรขอมด้วย หรือไม่ก็เป็นอาณาจักรเดียวกันนั่นแหละเพียงแต่เรียกชื่อต่างกันไปตามเหตุปัจจัยอันแสนหลากหลายทางประวัติศาสตร์ น่าคิดด้วยว่า ขอม นั้นอาจไม่ใช่อาณาจักรที่เป็นรูปธรรม แต่เป็นเพียงชื่อเรียกอารยธรรม อาณาจักรที่กล่าวมานั้นอาจมีอารยธรรมเดียวกันคืออารยธรรมขอมนั่นเอง    หลักฐานอารยธรรมขอมมีให้เห็นทั่วไปในแผ่นดินไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะที่เมืองเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา มีพระนอนขนาดใหญ่สร้างด้วยศิลาแลงอายุ 1300 ปี ตั้งอยู่ใกล้ๆปราสาทหินขอมโบราณขนาดเล็กหลายปราสาท ซึ่งเป็นหลักฐานว่า “ขอม” ในช่วงนั้นก็นับถือทั้งพุทธและพราหมณ์ พร้อมๆกัน และศูนย์กลางขอมก็น่าจะอยู่แถวๆ นครราชสีมานี่แหละ อย่าลืมด้วยว่าดินแดนโคราช เจริญมาช้านาน โดยมีชุมชนโบราณที่ใหญ่โต ก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอายุ 5000 ปีที่บ้านโนนวัด (ยุคเดียวกับบ้านเชียง มีการหล่อสำริดด้วย) และอายุ 3000 ปีที่บ้านธารปราสาท    ใน จ.นครราชสีมาปัจจุบันนี้มีวิหารหิน และปรางค์แบบพราหมณ์ใหญ่น้อยถึง36 แห่ง โดยเฉพาะปราสาทหินพิมายนั้นใหญ่โตมโหฬารพอควร ซึ่งวินิจฉัยกันว่ามีอายุแก่กว่านครวัดประมาณ 100 ปี คือสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (สรม. ๑) ส่วนนครวัดสร้างในสมัยสรม. ๒ (ซึ่งคงไม่ได้เป็นพระโอรสของ สรม. ๑ เพราะห่างกัน 100 ปี) ตรงนี้น่าสนใจมาก และน่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่านครวัดนั้นสร้างโดยขอมที่อพยพไปจากแผ่นดินไทย    สำหรับปราสาทพระวิหาร มีคำสลักบนแผ่นหินว่า “สุริยวรมัน” (ไม่ได้บอกว่าที่ ๑ หรือ ๒ แสดงว่าต้องหมายความโดยปริยายว่า ๑ นั่นเอง) แถมบันไดหันมาทางด้านศรีสะเกษ แสดงว่า สรม. ๑ ผู้ทรงสร้างปราสาททั้งสองหลังนี้ ทรงประทับอยู่ทางฝั่งนี้ แน่นอน อาจเป็นที่พิมาย หรือที่กันทรลักษณ์ หรือระหว่างทางของทั้งสองเมืองนี้ (นักวิชาการบางคนก็ไปสรุปว่า สรม. ๑ ประทับอยู่ที่เสียมราฐของเขมรในปัจจุบันเสียอีก ซึ่งถ้าประทับเช่นนั้นจะมาลงแรงปีนเขามาสร้างปราสาทพระวิหาร แล้วหันบันไดทางขึ้นไปทางศรีสะเกษทำไม? แล้วทำไมต้องไปสร้างอีกปราสาทไว้ไกลถึงพิมายด้วยเล่า ก็ถ้าอยู่แถวนั้นเสียแล้วก็สร้างปราสาทมันที่เสียมราฐเสียเลยจะไม่ดีกว่าหรือ)    สรม. ๑ นั้นหลังจากสร้างปราสาทพิมายและพระวิหารเสร็จก็น่าจะถูกยึดอำนาจ โดยชัยวรมัน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการสร้างปราสาทนี่แหละ เพราะต้องเกณฑ์แรงงานมาก สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมาก จากนั้นชัยวรมันก็ครองอำนาจมาได้หลายองค์กินเวลาประมาณ 100 ปีพอดี ในระหว่างนี้ลูกหลานของ สรม. ๑ ที่หนีรอดตายจากการยึดอำนาจของ ชรม. ๑ แล้วไปสร้างบ้านแปงเมืองอยู่ที่เสียมราฐ ก็เข้มแข็งขึ้น แล้วยกทัพกลับมาตีเอาพิมายคืนได้ในที่สุด จากนั้นจึงสถาปนาตนขึ้นเป็น สุริยวรมันที่ ๒ ซึ่งห่างจากองค์ที่หนึ่งถึง 100 ปี จากนั้นก็เอาเทคโนโลยีการก่อสร้างปราสาทหินกลับไปยังเสียมราฐเพื่อสร้างนครวัดให้ยิ่งใหญ่กว่าที่สริยวรมันที่ ๑ ได้สร้างไว้เสียอีก มีความเป็นไปได้ว่า สรม. ๒ อาจบนบาลเทพเจ้าว่าหากกู้บัลลังก์ได้สำเร็จจะสร้างนครวัดถวายเป็นการบูชา อนึ่ง คำว่า เสียมราฐ นั้น ก็อาจเป็นชื่อที่บ่งว่าเป็น รัฐแห่งชาว เสียม หรือ สยาม นั่นเอง เนื่องจากคน สยาม จากพิมายเป็นผู้ก่อตั้ง    เป็นไปไม่ได้ที่กษัตริย์ที่ทำงานใหญ่เช่นการสร้างนครวัดอย่างสรม. ๒ จะไม่มีการส่งสืบสันตติวงศ์ไปยังสรม. ๓ ๔ ๕ เพื่อกระทำภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ให้แล้วเสร็จ แต่อนิจจาเมื่อสรม. ๒ สร้างนครวัด ยังไม่แล้วเสร็จก็ถูกลูกหลานของ ชรม. ทางพิมายบรีรัมย์ศรีสะเกษรวมกำลังกันเข้ามายึดอำนาจคืนอีก ดังนั้นนครวัดจึงมาเสร็จเอาสมัยของชัยวรมันที่ ๗ แทนที่จะเป็น สุริยวรมันที่ ๓    ทั้งหมดนี้ก็ชนเผ่าสยามรบแย่งชิงอำนาจกันนั่นเอง โดยไม่ได้มีเขมรเข้ามาในภาพเลย สรุปคือพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (ผู้สร้างปราสาทหินพิมาย และ พระวิหาร) สรม. ๒ ชรม. ๗ ก็น่าจะคือแถวๆ พิมาย หรือ ศรีสะเกษนี่เอง คนเหล่านี้เป็นชนเผ่า อาหม ขะหม ขะหอม ขอม หรือ อาหม สยม สยาม หรือ ขะหอม สะหอม สะหยาม เรานี่แหละ ดังนั้นจึงมีจารึกที่กำแพงนครวัดว่าพวก “สยาม” ยกทัพมาช่วยรบกับพวกจัมปา (แขกจาม...ซึ่งอาจหมายถึงพวกเขมรนี่เอง) ถามว่าแล้วพวกสยามจะมาช่วยรบทำไม ถ้าไม่ใช่พี่น้องกันแต่ดั้งเดิม    นครวัดนั้นใหญ่โตมโหฬาร จู่ๆนึกจะสร้างก็คงไม่ได้หรอก มันต้องมีเทคโนโลยีพื้นฐานรองรับเสียก่อน คือต้องเรียนจากประถม มัธยม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ตามขั้นตอน เช่น เทคโนโลยีการตัดหิน ลากหิน ยกหิน ก้อนละเป็นตันๆ มันไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเอาได้ชั่วข้ามคืน แต่มันต้องสะสมบ่มเพาะมาจากการสร้างวัดขนาดเล็กก่อน เช่น แถว อ. สูงเนิน โคราช ปราสาทพนมวัน พิมาย พระวิหาร พนมรุ้ง เป็นต้น ปราสาทหินพิมายนั้นไปตัดหินมาจากอ.สีคิ้ว แล้วลากไปพิมายระยะทาง 100 กม. โน่น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ    สรุปคือนครวัดนั้นน่าจะสร้างโดยชาว “ขอมพิมาย” เรานี่เอง ไม่ได้สร้างโดยชาว ขะแมร์แต่ประการใด และสร้างจากต้นแบบ แนวคิด ศิลปะ และเทคโนโลยีจากพิมาย แม้แต่นางอัปสรที่ฟ้อนรำยังมีลักษณะเหมือนกัน (ได้ยินเขาว่ากัน)    เมื่อตอนนักล่าอาณานิคมฝรั่งเศสค้นพบปราสาทนครวัดนั้น บริเวณวัดปกคลุมด้วยป่าทึบโดยรอบ ซึ่งแสดงว่าถูกปล่อยร้างมานานหลายร้อยปี ซึ่งแสดงว่า “เขมร” ก็ไม่ได้สนใจปราสาทนี้เลยนับแต่ที่ “ขอมโบราณ” ได้ละทิ้งปราสาทนี้ไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าเขมรสร้างปราสาทนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง ก็น่าที่จะหวงแหนมากและควรจะสร้างบ้านแปงเมืองอยู่รอบๆ ปราสาทนี้อย่างต่อเนื่องตลอดมา เพราะปราสาทใหญ่โตงามสง่าปานนี้จะปล่อยให้ทิ้งร้างไปง่ายๆเช่นนี้ได้อย่างไร นักวิชาการฝรั่งเองยังวิจัยกันว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ในสมัยโน้น) ใหญ่กว่าลอนดอน และปารีส เสียอีก นักวิชาการฝรั่งสันนิษฐานกันไปต่างๆนาๆว่าเมืองนี้ร้างไปได้อย่างไร ส่วนใหญ่ก็ว่าไม่เป็นเพราะสงครามก็โรคร้าย    แต่ผู้เขียนไม่คิดเช่นนักวิชาการฝรั่ง เพราะปารีส ลอนดอน ก็โดนสงครามและโรคร้ายคุกคามมาตลอด ทำไมจึงไม่รกร้างเล่า? การลงทุนทางมนุษยชาติมากมายขนาดนครวัดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ (ใช้เวลาสร้างตั้ง 100 กว่าปี) มันมีโมเมนตัมทางมนุษยชาติมหาศาลที่จะเป็นพลังทำให้ดำรงอยู่ตลอดไป ไม่รกร้างได้ง่ายๆหรอก ขนาดเมืองเล็กๆ เช่น สุโขทัย เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา อยุธยา เชียงแสน อุตรดิตถ์ เวียงจันทร์ หลวงพระบาง ก็ไม่เคยรกร้าง มีการครองพื้นที่ต่อเนื่องตลอดมาทั้งที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่แบพระนคร(วัด)เลย ดังนั้นถ้าเขมรคือผู้ก่อสร้างนครวัดจริง คงไม่ปล่อยให้นครวัดรกร้างไร้การครองพื้นที่นับร้อยปี ทั้งที่ก็อยู่ในดินแดนเขมรนั่นเอง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เพียงแต่จะคิดว่าเขมรสร้างนครวัด    ผู้เขียนเชื่อว่าการรกร้างของนครวัดนั้นเป็นเพราะสงคราม “ผนวกกับความเชื่อด้านไสยศาสตร์” โดย “เขมร” เข้ามาตีขอมนครวัดแตกไป (คนป่ามักตีคนเมืองแตกเสมอ ดังเช่น กรุงโรมก็โดนมาแล้ว) ขอมนครวัดก็เลยถอยร่นเข้ามาอยู่ในแดนสยามซึ่งเป็น “แผ่นดินแม่” ของตนจนหมดสิ้น ปล่อยให้เขมรครองนครวัด แต่เขมร “ไม่กล้า” ครอง เพราะกลัวจะเกิดความวิบัติจากการสาปแช่งของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่สิงห์สถิตอยู่นั้น ก็เลยปล่อยทิ้งให้รกร้างมานานนับร้อยปีนั่นแล แล้วเขมรก็ถอยร่นไปอยู่ริมทะเลตามเคยปล่อยให้นครวัดเป็น ”แดนกันชน” ระหว่าง ขอม (สยาม) กับ เขมร มาจนถึงยุคฝรั่งเศสเป็นใหญ่นั่นแล    น่าครุ่นคำนึงต่อไปว่าเมื่อขอมแพ้เขมรที่นครวัดแล้ว พวกเขาอันตรธานหายไปไหน คงไม่ได้ถูกฆ่าตายเสียหมดดอกเป็นแน่ หรือว่ามันมีการเชื่อมโยงกับการก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา เพราะอยุธยาก่อตั้งมาประมาณ 650 ปีได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะตรงกับช่วงที่นครวัดถูกยึดโดยเขมรพอดี โดยพงศาวดารเราเชื่อกันว่าพระเจ้าอู่ทองจากสุพรรณบุรีมาก่อตั้งอยุธยา แต่หากคิดให้ดี ท่านจะมาทำไมในเมื่อสุพรรณก็อุดมสมบูรณ์ดีไม่แพ้อยุธยา ตอนนั้นการรบกับพม่าก็ยังไม่มี หรือว่ามันมีปัจจัยเสริมจากขอมที่แตกทัพเขมรมาแต่นครวัด ชาวขอมจำนวนมหาศาลหลายแสนคนไม่มีเมืองจะอยู่ ก็เลยอาจเป็นปัจจัยให้พระเจ้าอู่ทองมาสร้างเมืองใหม่ก็เป็นได้ ผนวกกับการวิเคราะห์ของนักวิชาการไทยที่ว่าแต่ก่อนไทยเรา (สุโขทัย) ปกครองโดยกษัตริย์แบบธรรมราชา แต่พอมาถึงอยุธยากลับปกครองแบบ เทวราชา ซึ่งบังเอิญไปพ้องกับระบบเทวราชาของพวกขอมนครวัดพอดีอย่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ เช่น การตั้งชื่อกษัตริย์เป็นเทพเจ้าแห่งลัทธิพราหมณ์ (เช่น พระรามาธิบดีที่ ๑) การเปลี่ยนระบบการปกครองได้รวดเร็วเช่นนี้ไม่น่าใช่เรื่องวิวัฒนาการ หรือว่ามันเป็นการยกระบบมาครอบโดยพวกขอมที่อพยพมาจากนครวัดนั่นเอง    ขอสรุปว่า ขอมโบราณกับไทยโบราณ อย่างน้อยต้องเป็นเครือญาติกัน ถึงอย่างมากก็เป็นพวกเดียวกันไปเลยเพราะเราอยู่ร่วมแผ่นดินขวานทองแบบผสมกลมกลืนกันมาช้านานหลายพันปีแล้ว จริงอยู่พงศาวดารจารึกว่าทำสงครามกันบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาของชนเผ่าโบราณเพราะแม้สยาม-ล้านช้าง-เชียงใหม่ ก็ทำสงครามกันอยู่เนืองๆ    ส่วนเขมรนั้นสันนิษฐานโดยตรรกได้ว่าไม่น่าใช่ชนเผ่าขอมที่สร้างปราสาทนครวัด (และพระวิหาร พิมาย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของจำนวนพลเมืองเขมรในยุคนั้นไม่น่ามีมากพอขนาดที่จะทำการก่อสร้างสิ่งมหึมานี้ได้ อย่าลืมด้วยว่าคนงานก่อสร้างนับแสนต้องมีมวลชนอีกมหาศาลเพื่อรองรับด้านการส่งกำลังบำรุง อีกทั้งวัฒนธรรมและเทคโนโลยีการก่อสร้างของเขมรก็ไม่เคยได้ยินว่าได้มีการพัฒนามาอย่างยาวนานและต่อเนื่องเช่นพวกขอม    อีกทั้งลักษณะทางกายภาพของชาวเขมรต่างจากคนบนแผ่นดินสุวรรณภูมิมาก กล่าวคือ มีลักษณะผิวคล้ำ ผู้เขียนหยิก จมูกรั้น ซึ่งละม้ายกับพวกชาวเกาะแถวอินโดนีเซียเสียมากกว่า ชะรอยชาวเขมรจะอพยพมาจากทางโน้น อีกทั้งอาณาจักรจาม หรือ จัมปา ทางตอนใต้ของเวียตนามนั้นเล่า ไทยเรามักเรียกว่า “แขกจาม” ก็อาจจะเป็นพวกเดียวกับเขมรก็เป็นได้ เพราะโดยคำว่า “แขก” นั้นไทยเรามักหมายถึงพวกที่มีผิวคล้ำผู้เขียนหยิก อาจเป็นไปได้ว่าเขมรปัจจุบันนี้เป็นกลุ่มหนึ่งที่แตกออกมาจากอาณาจักรจาม (เหมือนกับที่ลาว-ไทย-ไทยใหญ่แตกออกจากกันนั่นเอง)    เป็นไปได้ยากว่า “ขอม” จะหมายถึงกลุ่มชนชาวเขมรที่ได้ขยายอำนาจจากดินแดนเขมรปัจจุบันออกมาทางพิมายและลพบุรี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะต้องสร้างปราสาทหินทางโน้นก่อน แล้วจึงมาสร้างทางฝั่งไทยทีหลัง เพราะเทคโนโลยีการสร้างนี้ไม่ใช่ง่ายๆ มันต้องเริ่ม “หัดเดิน” ที่พิมายและพระวิหารเสียก่อน จึงจะไป”วิ่ง”ที่นครวัดได้ มีผู้สังเกตไว้มากรายว่าศิลปะที่นครวัดเหมือนกับที่พิมาย(ซึ่งเกิดก่อน) อีกทั้งเส้นทางโบราณที่ค้นพบว่าเป็นถนนหินจากพิมายไปสู่นครวัดนั้นก็เป็นหลักฐานหนึ่งว่านครวัดเชื่อมโยงกับพิมาย โดยตีความว่าเป็นเพราะเมื่อ สรม. ๒ กลับมายึดพิมายคืนจาก ชรม. ได้แล้วก็เลยให้สร้างถนนนี้ไว้เพื่อเชื่อมโยงระหว่างเมืองทั้งสองให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ซึ่งแสดงว่าพิมายคงจะใหญ่โตมาก จึงคุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อเป็นเส้นทางค้าขายระหว่างกัน (รวมทั้งการเดินทัพ)    ข้อสังเกตในบทความนี้อาจผิดถูกอย่างไร ขอท่านผู้อ่านโปรดช่วยกันวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ต่อไป และหรือนำไปเป็นประเด็นในการศึกษาวิจัยกันต่อไป วิงวอนนักศึกษาประวัติศาสตร์ว่าอย่างเพิ่งด่วนสรุปว่า ขอมคือเขมร และ เขมรสร้างนครวัด

ชีวิตนี้สั้นนัก

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี
1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม…ไม่เลว 3,120 สัปดาห์ 
แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก 
เปล่าเลย ผมไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมาก
หากคำนวณในเชิงตัวเลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป 
โอ๊ย…กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ
และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี 
แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะ
อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ
อุแม่เจ้า… 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย 
คิดแบบนี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้างๆ
เพราะนี่คือวันเสาร์ที่เราเหลือ…บนพื้นโลก 
นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน(รู้นะว่าพวกเธอคิดอยู่) ….
ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืน
วันเสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น…คำนวณเองบ้างซิว้อย!!! 
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี 
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน 
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นเพียงว่า
เพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าผมจะเป็นอะไรดี 
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเอง
เหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน 
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ ผมแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ…ไอ้บ้า!!! 
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ‘ฆ่าเวลา’ … ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย
บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมีอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน…แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง…ใช่แล้ว…เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ 
ตายได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ…ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย…ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้ 
เคยสงสัยมั้ย… ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่าง
และตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่…มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตาย
วันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา 
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า…พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว
ทำในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามฝันของเราไปสุดโต่ง…ต้องรีบแล้ว…เดี๋ยวตายยนะ…เตือนแล้วไง 
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักผม ไม่สนว้อย…
เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว 
ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอยให้สัมภาษณ์ยมบาล 
คนข้างบ้านเดินหน้าแป้นแล้นมาบอกกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อม
การ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง แต่เมื่อกี๊นี้ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทร.มา
ปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย… แต่กว่าที่คนเป็นแม่จะได้รู้ข่าวร้าย ก็
ปาไป 5 วัน ซองในมือผมกลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้กลายเป็นพวงหรีดและทั้งหมดกลายเป็น
แรงบันดาลใจที่อยากจะบอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน…แล้วนะ  
อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ 
เดี๋ยวตายซะก่อน…เสียดายแย่!!!

กรรม...

อนิจจัง  รัตตัง  เวรสู : การที่แฟนไปมีชู้  ถือว่าสูนะมีกรรม
 กรรม คือ การ กระทำ
คนเกิดมามีกรรมเป็นของตน บางคนมีกรรมร่วมกัน
จึงเกิดมาและอยู่ใกล้กัน เพื่อใช้กรรม
บางคนต้องมีเหตุการณ์ ทำให้มาพบหรือเจอกัน
เพื่ออโหสิกรรม หรือเพิ่มกรรม ขอบคุณ บุญ
ที่ทำให้พบ ขอบคุณกรรม ที่ทำให้รู้ จะอยู่อย่าง คนดี......
อาการแอบรักแฟนชาวบ้าน มีด้วยกัน 3 ระดับ

ระดับที่ 1 คือ แอบรักแบบชอบพอ ไม่สานต่อ ไม่เริ่มต้น แอบรักอยู่ในใจ อันนี้เจ็บน้อย

ระดับที่ 2 แอบรักแบบเผลอตัว เสียให้เขาไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า … เขามีเจ้าของอยู่อย่างเป็นทางการ ถ้าใครอยู่ในขั้นนี้ก็ถือว่าไม่หนักเท่าขั้น 3 หากไม่มีแผนการจะแย่งเขามาจริงๆ … คบไปเป็นครั้งคราวรู้สึกดีๆ ให้กัน ถ้าตัดใจได้ ก็เดินจากมา จะเป็นการดี

ระดับที่ 3 รักเขาเต็มหัวใจ อยากได้มาเป็นของตัวเอง ทำทุกทางให้เขามาเป็นของเรา แต่ทำไงได้หละ ในเมื่อหัวใจของเขา ไม่ได้ติดอยู่กับเราซักนิด ระดับนี้แหละที่เรียกว่า ปวดใจรุนแรง เหมือนเราเป็นอะไรสักอย่างที่เขาไม่เลือกเขาไม่เอา ทั้งๆ ที่เราเป็น ของใหม่แท้ๆ

ไม่ผิดเลยซักนิด ที่คิดเผลอใจไปรักแฟนชาวบ้าน ธรรมดาที่สุด ... แต่ในความธรรมดา มันจะไม่ธรรมดาขึ้นมาก็ต่อเมื่อ … เราเผลอจนลืมกรอบความถูกต้อง … ลืมความจริงในสิ่งที่เป็น ลืมว่าใครจะเป็นอย่างไร เพราะการกระทำของเราคนเดียว

เช่น … แอบรักแฟนชาวบ้าน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว

ถ้าความแตกเจ็บกันทุกฝ่าย เมื่อคนรักของราเขาดีอยู่แล้ว ก็อย่าเผลอใจไปให้ใครเลย … แต่ถ้าห้ามไม่ได้จริงๆ ก็ลองหาวิธีที่มันนุ่มนาวลที่สุด

คุณอาจโชคดี ที่แฟนชาวบ้าน เผลอมีใจให้คุณ และอยากจะคบกับคุณเช่นกัน แต่โปรดระวังไว้ให้ดี … เพราะวันข้างหน้า เขาคนนี้ … อาจอยากไปคบกับแฟนชาวบ้าน คนอื่นๆ อีกก็เป็นได้

ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดกับตัวฉันเอง คงรู้สึกสับสนไม่น้อยเลย แต่โชคดีที่ฉันเป็นผู้หญิง ที่รักตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด ก่อนที่ฉันจะเอาใครมาเป็นคู่ ไม่ว่าจะคบกันในระยะสั้น ระยะยาว ฉันก็ต้องดูให้แน่แท้เสียก่อนว่า คนๆ นั้น … เขารักฉันเท่ากับที่ฉันรักตัวเองหรือเปล่า?

ถ้าหากแฟนชาวบ้าน ที่ฉันแอบไปเผลอใจให้ "ไม่ได้รู้สึกจริงจังอะไรเท่าที่ควร" อาจจะมีอะไรให้ฉันบ้าง แต่มันเล็กน้อยเหลือเกิน หากเปรียบเที่ยบกับที่เขาให้แฟนของเขา ฉันก็จะรักษาระยะห่างให้พอดี และรอเวลาเดินจากมา ในสักวัน ^-^

ทัวร์ลาวไปเที่ยวกันไหม

วันที่ 1 : ออกเดินทางจาก กทม.มุ่งสู่ด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร และด่านวังเต่า สปป.ลาว
06.00 น. ออกเดินทางจาก กทม. มุ่งสู่ด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร และด่านวังเต่า สปป.ลาว

08.00 น. ดำเนินการด้านหนังสือคนเข้า – ออกเมือง

08.30 น. เดินทางเข้าสู่ สปป.ลาว ผ่านเมืองโพนทอง
12.00 น. รับประทานอาหารเที่ยงที่เมืองจำปาสัก
13.00 น. ข้ามแพขนานยนต์ ชมความงามของปราสาทหินวัดพู ปราสาทหินที่เก่าแก่ ก่อน นครวัด นครธม
16.00 น. เดินทางสู่เมืองปากเซ ข้ามสะพานมิตรภาพลาว – ญี่ปุ่น ยาว 1,200 เมตร เข้าสู่เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก รับประทานอาหารเย็นที่เมืองปากเซ กลางคืนชมความงามของเมืองปากเซ พักค้างคืนที่โรงแรมในเมืองปากเซ

วันที่ 2 : ปากเซ - น้ำตกหลี่ผี - น้ำตก คอนพะเพ็ง
07.00 น. รับประทานอาหารเช้า

08.00 น. เดินทางสู่เมืองโขง เส้นทางสายใต้ ชมน้ำตกคอนพะเพ็ง น้ำตกต่างระดับของลำน้ำโขง ชื่นชมความ สวยงามอันยิ่งใหญ่จนได้รับขนานนาม “ ไนแองการ่าแห่งเอเซีย
12.00 น. รับประทานอาหารเที่ยง ที่ร้านอาหารริมน้ำตกคอนพะเพ็ง
13.00 น. ลงเรือข้ามแม่โขง ชมความงามของหมู่เกาะสี่พันดอน ชมน้ำตกหลี่ผี
16 .30 น. เดินทางกลับเมืองปากเซ กลางคืนท่องราตรีเมืองปากเซ
พักค้างคืนโรงแรมใน เมืองปากเซ
วันที่ 3 :ปากซอง – น้ำตก ตาดฟาน – ไร่ชา – น้ำตก ตาดผาส้วม
07.00 น. รับประทานอาหารอาหารเช้าที่อุทยานบาเจียง เมืองปากซ่อง

08.30 น. ชม ความงามของน้ำตกผาส้วม น้ำตกบักแงว หมู่บ้านจำลองวิถีชีวิตของชาวชนเผ่าดั้งเดิม เช่นเผ่าระแงะ กะตู้ ละเวน กระเหรี่ยง ชมศาลาวัฒนธรรมชนเผ่า
10.00 น. เดินทางชมน้ำตก ตาดฟาน ที่ท่านสามารถเดินลงไปชมความงามด้านล่างของน้ำตก จากนั้นเดินทางกลับสู่เมืองปากเซ
12.00 น. รับประทานอาหารเที่ยงที่เมืองปากเซ
13.00 น. เดินทางกลับสู่ด่านวังเต่า – ช่องเม็ก สิรินธร อุบลราชธานี

โรงแรม สถานที่พัก ใน เมืองปากเซ ลาวใต้
อัตราค่าบริการ
จำนวน (คน)
10-12 คน
40 คนขึ้นไป
อัตราค่าบริการ/คน
พักโรงแรม 5 ดาว
4,200 บาท
4 ,800 บาท
3,600 บาท
4,200 บาท
ค่าใช้จ่ายนี้รวม
1. ค่าดำเนินการเอกสารผ่านแดน
2. ค่าธรรมเนียมเข้าออกประเทศ
3. ค่าที่พักโรงแรม
4. ค่าอาหารตามรายการทุกมื้อ
5. ค่าพาหนะนำเที่ยวตลอดรายการ
6. ค่าไกด์นำเที่ยว
7. ค่าเข้าชมสถานที
เอกสารที่ต้องใช้ …สำเนาบัตรประชาชน 1 ฉบับ หรือพาสปอร์ต